วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อิ้นคู่พลอดรัก มหาเสน่ห์ หลวงพ่อกอย เนื้อโลหะอาถรรพ์ ขนาดพกพา 1 นิ้ว




พุทธคุณอิ๋นคู่พลอดรัก หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้
ผู้ที่พกอิ๋นนคู่พลอดรัก ซึ่งเป็นเครื่องรางที่มีความผูกพันโดยตรงหากใครที่อยากมีความรักและเขาก็รักเราเช่นกัน นอกจากนี้คนที่มีคู่อยู่แล้ว คู่ของเรามักจะเหินห่างไม่ค่อยใยดีกับเรา ท่านบอกว่าให้นำอิ๋นคู่พลอดรักพกติดตัวทำการอธิษฐานต่ออิ๋นคู่พลอดรักไม่ช้าไม่นานคู่รัก ของคุณ จะคืนดีด้วย อย่างน่าอัศจรรย์ คู่สามีภรรยาที่แตกแยกกันสามีนอกใจภรรยา ภรรยานอกใจสามี จะได้รักพบความรักแล้วไม่มีวันจาก รักใคร่กลมเกลียวกัน ส่วนคู่ที่รักกันอยู่แล้วก็จะรักยิ่งๆขึ้นไปผูกจิตให้รัก ผูกใจให้คิดถึงคะนึงหามิรู้ลืม มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น เมตตารักใคร่พบความรักแล้ว จะไม่มีวันจากสมหวังในเรื่องความรักกอดคอรักกันจนวันตาย ชายหญิงใดที่อับคู่ชู้ชื่นพกติดตัวจะเป็นที่รักที่ชื่นชมกับผู้ที่ได้สัมผัส อิ๋นคู่พลอดรักจะบันดาลให้เจอ เนื้อคู่ หากเขาเป็นเนื้อคู่ของเราแล้งไซร์ ทำให้เขาเข้ามาเร็วขึ้นทำให้เข้าใจกันและกันมากขึ้น

อิ่นคู่คืออะไร ??
อิ๋นคู่ คือรูปชายหญิงที่กำลังกอดรักกัน มีความเชื่อมาแต่โบราณเป็นบุรุษหญิงชายคู่แรกของโลก เป็นเครื่องรางที่แสดงถึงความรักระหว่างชายกับหญิง ลักษณะนี้เรียกว่า อิ๋นคู่ ผู้ใดมีไว้ติดตัว ย่อมมีอำนาจเหนือจิตใจของเพศตรงข้าม มีอำนาจในทางดึงดูดเพศตรงข้ามให้สนใจในตัวของเรา ทำให้เพศตรงข้ามคิดถึงตัวเราเสมอๆ เกิดความรัก เกิดความต้องการที่จะใกล้ชิด

ข้อมูลทั้งหมด https://goo.gl/FmcEUS

#อิ้นคู่ #หลวงพ่อกอย #วัดเขาดินใต้เดิม #พระเครื่อง #วัตถุมงคล #เครื่องรางของขลัง #เมตตามหานิยม #มหาเสน่ห์ #โชคลาภค้าขาย #เครื่องรางความรัก

อิ้นคู่พลอดรัก มหาเสน่ห์ หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้ เนื้อผง ขนาดพกพา 1 นิ้ว




อิ๋นคู่พลอดรัก สุดยอดเครื่องรางอมตะสิ่งมหัศจรรย์วัตถุอาถรรพณ์ยอดเฮี้ยน หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้ บุรีรัมย์

หลวงพ่อกอย ท่านได้ทำพิธีปลุกเสกถูกต้องตามพิธีกรรมเขมรโบราณทุกประการปลุกเสกจนเกิดนิมิตเห็นร่างของชายหญิงกำลังกอดรักกัน เรียกญาณอิ๋นคู่เพศชาย เรียกญาณอิ๋นคู่เพศเมียเข้าสู่อิ๋นพลอดรักทุกๆคู่

อิ่นคู่คืออะไร ??
อิ๋นคู่ คือรูปชายหญิงที่กำลังกอดรักกัน มีความเชื่อมาแต่โบราณเป็นบุรุษหญิงชายคู่แรกของโลก เป็นเครื่องรางที่แสดงถึงความรักระหว่างชายกับหญิง ลักษณะนี้เรียกว่า อิ๋นคู่ ผู้ใดมีไว้ติดตัว ย่อมมีอำนาจเหนือจิตใจของเพศตรงข้าม มีอำนาจในทางดึงดูดเพศตรงข้ามให้สนใจในตัวของเรา ทำให้เพศตรงข้ามคิดถึงตัวเราเสมอๆ เกิดความรัก เกิดความต้องการที่จะใกล้ชิด

พุทธคุณอิ๋นคู่พลอดรัก หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้
ผู้ที่พกอิ๋นนคู่พลอดรัก ซึ่งเป็นเครื่องรางที่มีความผูกพันโดยตรงหากใครที่อยากมีความรักและเขาก็รักเราเช่นกัน นอกจากนี้คนที่มีคู่อยู่แล้ว คู่ของเรามักจะเหินห่างไม่ค่อยใยดีกับเรา ท่านบอกว่าให้นำอิ๋นคู่พลอดรักพกติดตัวทำการอธิษฐานต่ออิ๋นคู่พลอดรักไม่ช้าไม่นานคู่รัก ของคุณ จะคืนดีด้วย อย่างน่าอัศจรรย์ คู่สามีภรรยาที่แตกแยกกันสามีนอกใจภรรยา ภรรยานอกใจสามี จะได้รักพบความรักแล้วไม่มีวันจาก รักใคร่กลมเกลียวกัน ส่วนคู่ที่รักกันอยู่แล้วก็จะรักยิ่งๆขึ้นไปผูกจิตให้รัก ผูกใจให้คิดถึงคะนึงหามิรู้ลืม มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น เมตตารักใคร่พบความรักแล้ว จะไม่มีวันจากสมหวังในเรื่องความรักกอดคอรักกันจนวันตาย ชายหญิงใดที่อับคู่ชู้ชื่นพกติดตัวจะเป็นที่รักที่ชื่นชมกับผู้ที่ได้สัมผัส อิ๋นคู่พลอดรักจะบันดาลให้เจอ เนื้อคู่ หากเขาเป็นเนื้อคู่ของเราแล้งไซร์ ทำให้เขาเข้ามาเร็วขึ้นทำให้เข้าใจกันและกันมากขึ้น

ข้อมูลทั้งหมด https://goo.gl/FmcEUS

#อิ้นคู่ #หลวงพ่อกอย #วัดเขาดินใต้เดิม #พระเครื่อง #วัตถุมงคล #เครื่องรางของขลัง #เมตตามหานิยม #มหาเสน่ห์ #โชคลาภค้าขาย #เครื่องรางความรัก


วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

นกสาริกามหาเสน่ห์-มหารวย หลวงพ่อชื่น ฝังตะกรุดสาลิกา 2 ดอก พิมพ์ธรรมดา



นกสาริกามหาเสน่ห์-มหารวย หลวงพ่อชื่น ฝังตะกรุดสาลิกา 2 ดอก พิมพ์ธรรมดา

ตามตำรามหาขันต์สาริกา เป็นตำรามหายันต์ ในด้านมหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม มหามิตร มหาโชค มหาลาภ ความเจริญรุ่งเรืองของพรหมศาสตร์ชั้นสูง หลวงพ่อชื่นท่านได้สำเร็จมหายันต์สาริกาโดยตรง ท่านได้นำสาริกาลิ้นทอง ผงสาริกาหาคู่, ผงสาริกาหลงรัง, ผงสาริกาพญาการเวก ,ผงหัวใจยูงทอง, ผงหัวใจเทพจำแลง, ผงสาริกาตัวผู้-ตัวเมีย, ผงสาริกาพญาเทครัว, ผงสาริกาป้อนเหยื่อ, และผงนางอกแตก, ซึ่งเป็นผงเกี่ยวกับมหาเสน่ห์โดยเฉพาะ ท่านได้นำมวลสารทั้งหมดมาผสมเข้าด้วยกัน มากดพิมพ์เป็นนกสาริกามหาเสน่ห์-มหารวย

หลังจากนั้นได้กำหนดฤกษ์ปลุกเสกลงคาถาอาคมมหามนต์สาริกาทุกชนิดเป็นปัจจัยพื้นฐานเต็มสูตรแบบต้นตำรับเขมรจนบังเกิดอุคนิมิตเป็นโลกียสุขสี่ เข้าสู่นกสาริกาทุกคู่และท่านได้ลงมหามนต์พระคาถาอาทิ พระคาถาเมตตาใหญ่ พระคาถามหานิยมใหญ่ พระคาถามหาละลวย พระคาถามหารักมหาหลง ซ้ำไปอีกครั้งหนึ่ง

นกสาริกามหาเสน่ห์-มหารวย หลวงพ่อชื่น วัดตา หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ วัดตาอี จ.บุรีรัมย์ ยอดพระเกจิอาจารย์สายเขมรที่เปี่ยมไปด้วยเมตตามหาบารมี หลวงปู่ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสายวิปัสนากรรมฐาน ถือธุดงค์เป็นวัตร มีพลังจิตญานขั้นสูง เชี่ยวชาญในพระเวทย์วิทยาคมอาถรรพณ์เวทย์สายเขมรโบราณ ท่านเป็นหนึ่งในศิษย์สายเขากุเลนซึ่งเป็นสถานที่ ในการเจริญวิปัสสนากรรรมฐานและพระเวทย์วิทยาคมขั้นสูงของเขมร วัตถุมงคลที่หลวงปู่ได้ทำการอธิฐานจิตปลุกเสก ล้วนแล้วแต่แรง เห็นผล และสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ใช้บูชามากมาย โดยเฉพาะทางมหาเสน่ห์ เมตตา-มหานิยม โชคลาภ ค้าขาย เสริมดวงชะตาราศี เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน วัตถุมงคลของท่านหลายรายการที่สร้างออกมาแล้วสร้างประสบการณ์ใช้กับผู้ใช้บูชามากที่สุด เป็นที่กล่าวขานมากถึงความศักดิ์สิทธิ์เข้มขลัง วัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นที่ได้รับความนิยมสูง เช่นขุนแผน พิศวาสรุนแรง มะรุมมะตุ้ม สามอาถรรพณ์ กุมารทอง ตุ๊กตามหาเสน่ห์ ดวงตราอาถรรพณ์วัวธนู นกสาริกา จิ้งจก ล๊อกเก็ต พระขรรค์ เป็นต้น ..ฯลฯ ถึงแม้หลวงปู่ท่านจะมรณภาพไปแล้ว (มรณะปี 2547) แต่ก็ยังมีผู้คนเสาะแสวงหาวัตถุมงคลของท่านอยู่ไม่ขาด เพราะว่าใช้แล้วเห็นผลดีแรงเห็นผลทันตาอธิษฐานได้ดั่งใจปรารถนา หลวงปู่เป็นหนึ่งในพระสงฆ์ที่เป็นที่เคารพบูชาของศิษยานุศิษย์และผู้คนทั้งหลายที่ศรัทธาในบุญบารมีของท่าน วัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นเป็นสุดยอดวัตถุมงคลแห่งยุคที่ต้องมีไว้บูชา

พุทธคุณนกสาริกามหาเสน่ห์-มหารวย หลวงพ่อชื่น
เหมาะกับนักธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า ดารานักร้อง นักการตลาด ผู้ขายประกัน นายจ้าง ลูกจ้าง(เหมาะกับติดต่อธุรกิจ) พุทธคุณเน้นในเรื่องเมตตามหาเสน่ห์ พูดจาไพเราะก้องหูจับจิตจับใจแก่ผู้ฟังทุกท่านมีทั้งโชคลาภ มีอำนาจวาสนา เขาจะลืมเรามิได้เป็นที่รักของเจ้านายและบุคคลทั่วไป

ข้อมูลทั้งหมด https://goo.gl/nzhf8M

#นกสาริกามหาเสน่ห์มหารวย #หลวงพ่อชื่น #วัดตาอี #พระเครื่อง #วัตถุมงคล #เครื่องรางของขลัง #เมตตามหานิยม #มหาเสน่ห์ #โชคลาภค้าขาย #เครื่องรางความรัก


ขุนแผนพิศวาสรุนแรง ฝั่งแม่เป๋อพิศวาส หลวงพ่อชื่น วัดตาอี บุรีรัมย์ ปี 2543



ขุนแผนพิศวาสรุนแรง ฝั่งแม่เป๋อพิศวาส หลวงพ่อชื่น วัดตาอี บุรีรัมย์ ปี 2543

มวลสารขุนแผนพิศวาสรุนแรง หลวงพ่อชื่น วัดตาอี บุรีรัมย์
แป้งมหาเสน่ห์ ว่านมหาเสน่ห์ ว่านดอกไม้ทองตัวผู้-ตัวเมีย ว่านขุนแผน ว่านกาหลง ดอกรักซ้อน ว่านจูงนาง รังนกสาริกาหลงรังตายพราย ผงนางอกแตก ผงพญาเทครัว ผงพรายกุมาร ท่านได้ทำพิธีตามครูบาอาจารย์ชาวเขมรแบบพิศดาลล้ำลึก ได้นำมวลสารทั้งหมดนี้มาผสมกับน้ำมันเสน่ห์จันทร์ขาว ผงนางจันทร์พลอดรัก มากดเป็นพิมพ์ขุนแผน ด้านหน้าเป็นขุนแผนอุ้มกุมารทอง ด้านหลังฝังแม่เป๋อพิศวาส และอิ๋นคู่มหาเสน่ห์

พุทธคุณขุนแผนพิศวาสรุนแรง ฝั่งแม่เป๋อพิศวาส หลวงพ่อชื่น วัดตาอี บุรีรัมย์ ปี 2543
พุทธคุณของขุนแผนรุ่นนี้จะเน้นในเรื่องเมตตามหาเสน่ห์สูงสุดสำหรับผู้บูชาติดตัวและยังสามารถอธิษฐานขอในด้านของความรัก ความสมหวัง เป็นเมตตามหานิยม

#หลวงพ่อชื่น #วัดตาอี #พระเครื่อง #วัตถุมงคล #เครื่องรางของขลัง #เมตตามหานิยม #มหาเสน่ห์ #โชคลาภค้าขาย #เครื่องรางความรัก

ขุนแผนพิศวาสรุนแรง ฝั่งอิ๋นคู่มหาเสน่ห์ หลวงพ่อชื่น วัดตาอี บุรีรัมย์ ปี 2543




ขุนแผนพิศวาสรุนแรง ฝั่งอิ๋นคู่มหาเสน่ห์ หลวงพ่อชื่น วัดตาอี บุรีรัมย์ ปี 2543

พุทธคุณขุนแผนพิศวาสรุนแรง ฝั่งอิ๋นคู่มหาเสน่ห์ หลวงพ่อชื่น
พุทธคุณของขุนแผนรุ่นนี้จะเน้นในเรื่องเมตตามหาเสน่ห์สูงสุดสำหรับผู้บูชาติดตัวและยังสามารถอธิษฐานขอในด้านของความรัก ความสมหวัง เป็นเมตตามหานิยม

มวลสารขุนแผนพิศวาสรุนแรง หลวงพ่อชื่น วัดตาอี บุรีรัมย์
แป้งมหาเสน่ห์ ว่านมหาเสน่ห์ ว่านดอกไม้ทองตัวผู้-ตัวเมีย ว่านขุนแผน ว่านกาหลง ดอกรักซ้อน ว่านจูงนาง รังนกสาริกาหลงรังตายพราย ผงนางอกแตก ผงพญาเทครัว ผงพรายกุมาร ท่านได้ทำพิธีตามครูบาอาจารย์ชาวเขมรแบบพิศดาลล้ำลึก ได้นำมวลสารทั้งหมดนี้มาผสมกับน้ำมันเสน่ห์จันทร์ขาว ผงนางจันทร์พลอดรัก มากดเป็นพิมพ์ขุนแผน ด้านหน้าเป็นขุนแผนอุ้มกุมารทอง ด้านหลังฝังแม่เป๋อพิศวาส และอิ๋นคู่มหาเสน่ห์


วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พระพิฆเนศร์พิมพ์ยืนเนื้อโลหะ หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้ ขนาดห้อยคอ 1 นิ้ว ปี 2553

พระพิฆเนศร์พิมพ์ยืนเนื้อโลหะ หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้ ขนาดห้อยคอ 1 นิ้ว ปี 2553

สมัยก่อนในอินเดียเองก็มีแนวความเชื่อในเรื่องพระพิฆเนศวรในทุกลัทธิศาสนาไม่ว่าลัทธิที่ถือองค์พระศิวะเป็นใหญ่ นับถือพระพรหมเป็นใหญ่หรือพระนารายณ์เป็นใหญ่ ทุกลัทธิล้วนให้ความสำคัญต่อพระพิฆเนศวรทั้งสิ้น ด้วยทุกตำราได้กล่าวถึงที่มาของพระพิฆเนศวรไว้สูง สำคัญและฤทธิ์มากมีความเฉลียวฉลาดมีคุณธรรม คอยช่วยเหลือปกป้องปราบปรามสิ่งชั่วร้ายและเป็นยอดกตัญญูแม้พระพิฆเนศวรจะเป็นเทพที่มีความเก่งกาจสามารถยิ่ง แต่ก็เป็นเทพที่สงบนิ่งไม่เย่อหยิ่งทรนงอันเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐอีกประการหนึ่งของผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
จึงกล่าวได้ว่า พระพิฆเนศวรเป็นมหาเทพที่ดีพร้อมครบถ้วนด้วยความดีงามสมควรแก่การยกย่องบูชาเป็นนิจ แม้แต่องค์พระศิวะมหาเทพผู้สร้างและพระบิดาแห่งองค์พระพิฆเนศวรยังกล่าวว่า ไม่ว่าจะกระทำการสิ่งใดหรือทำพิธีบูชาใด ให้ทำการบูชาพระพิฆเนศวร ก่อนกระทำการทั้งปวง “ผู้ใด ต้องการความสำเร็จ ให้บูชาพระพิฆเนศวร” “ผู้ใด ต้องการพ้นจากความขัดข้องทั้งปวง ให้บูชาพระพิฆเนศวร”
คนไทยคุ้นเคยกับบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายมาช้านาน แต่ในบรรดาเทพเจ้าทั้งหมด คนไทยรู้จักพระพิฆเนศวรมากที่สุดเพราะท่านเป็นมหาเทพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตคนไทยมากที่สุดจนกล่าวได้ว่าคนไทยยอมรับในองค์พระพิฆเนศวรเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นตราประจำกรมกองต่าง ๆ มากมาย พระพิฆเนศวรเป็นเทพแห่งปราชญ์และความรอบรู้ต่าง ๆ เป็นเทพแห่งขจัดอุปสรรคความขัดข้อง ดังนั้นหากผู้ใดเป็นผู้รู้และต้องการประสบความสำเร็จต่อกิจการทั้งปวงมักจะบูชาพระพิฆเนศวร
เริ่มต้นครั้งแรกควรเริ่มบูชาในวันพฤหัสบดี วันต่อไปให้สักการะ ตามปกติ จะเป็นฤกษ์ยามใดถือเป็นมงคลทั้งสิ้น ของที่ใช้ในการสักการบูชาได้แก่ น้ำสะอาด นมหวาน หรือน้ำแดง แต่ถ้ามีเครื่องสังเวยควรใช้ผลไม้และขนมต่างๆ เช่น อ้อย กล้วยสุก มะพร้าว ควรถวายก่อนพระอาทิตย์ตกดิน อาจเลือกวันขึ้น-หรือแรม 4 ค่ำ ก็ได้ ถ้าบูชาได้ทุกวันยิ่งดี
เครื่องสังเวยห้ามใช้เนื้อสัตว์ทุกชนิด ให้ถวายผลไม้เป็นหลัก จะต้องมีท่อนอ้อย ซึ่งหาซื้อได้ที่ปากคลองตลาด หรือน้ำอ้อย นม ขนมโมทกะ (ขนมต้มแดง ต้มขาวของไทย) หรือถ้าใช้ขนมแขกต้องใช้ขนมลาดูป
คาถาสวดอัญเชิญและบูชาองค์พระพิฆเนศ
โอม ศิโรเม พุทธะเทวัญจะ อะหังเมธานัง พิฆะเนศะวะรัง นามะเทวะตา มะหาอิทธิโย ปาระมิตตา ปูชิตตะวา อัญชะลียะ ปัก การะวันตา ปักการา เคหะวัตถุ มหิเขตเต พิธีปูชา อาคัจ ฉายะหิ สัม ผัสสะ เทวะ มะนุสสานัง อัญชลียะ จะ นะมัสศิวารายะ
โอม พระพิฆะเนศะวะระ สัพพะ สิทธิ ประสิทธิเม มะหาลาโภ ภะวันตุเม
ทุติยัมปิ พระพิฆะเนศะวะระ สัพพะสิทธิ ประสิทธิเม มะหาลาโภ ภะวันตุเม
ตะติยัมปิ พระพิฆะเนศะวะระ สัพพะสิทธิ ประสิทธิเม มะหาลาโภ ภะวันตุเม
พระคาถาบทนี้สำหรับสวดอัญเชิญและบูชาองค์พระพิฆเนศ เพื่อให้ท่านได้โปรดประทานพรในสิ่งที่เป็นสรรพมงคล ทั้งในด้านวิชา สติปัญญา ความรอบรู้ และชีวิตความเป็นอยู่โดยทั่วไป เพื่อความเป็นสิริมงคลและสำเร็จผลทุกประการ

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สีผึ้งเทพรัญจวน/ น้ำมันเสน่ห์เทพรัญจวน มนต์ขุนแผนมหาเสน่ห์ หลวงปู่ข้าวแห้ง วัดตาปันศรัทธาราม


สีผึ้งเทพรัญจวน / น้ำมันเสน่ห์เทพรัญจวน มนต์ขุนแผนมหาเสน่ห์ หลวงปู่ข้าวแห้ง วัดตาปันศรัทธาราม จ.สุรินทร์ อายุ ๑๒๒ปี
สีผึ้งและน้ำมัน ของท่านนั้น พุทธคุณเด่น ในเรื่อง เมตตามหาเสน่ห์ ใช้เจรจาค้าขายดีเยี่ยม สมหวังทุกประการที่ปรารถนา สีผึ้งและน้ำมันของท่านนั้น ถือว่าเป็นเครื่องรางที่ได้รับความนิยมสูงสุดอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน และในครั้งนี้หลวงปู่ข้าวแห้ง ได้ทำพิธีหุงสีผึ้ง และน้ำมัน ตามแบบกรรมวิธีโบราณ ปลุกเสกแรมปี ให้มีอิทธิฤทธิ์ในด้านเมตตา มหาเสน่ห์รุนแรงเด็ดขาดมากๆ สุดยอดของเสน่ห์ เจ้าชู้ สาวรัก สาวหลง หนุ่มรัก หนุ่มหลง สุดยอดมนตราให้หลงใหลเป็นพลังวิเศษสุด ถ้าได้บูชาติดตัวแล้วจะสร้างความตราตรึงใจแก่ผู้พบเห็น จะพูด จะเจรจาพาทีก็ดูน่ารัก น่าชื่นชม คนฟังเชื่อถือมนต์วิชานี้ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งศาสตร์ วิชาทางเสน่ห์ หาผู้รู้วิชาจริงได้ยาก สำหรับผู้ที่มีวาสนาบารมียิ่งนักที่ได้ครอบครองสีผึ้งและน้ำมันเทพรัญจวน ที่เปรียบเสมือนแก้วสารพัดนึกด้านความรัก ความสมหวัง แล้วแต่จะอธิษฐานใช้ในด้านใด
มวลสารวิเศษที่นำมาผสมในครั้งนี้ จำพวกว่านที่มีอนุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหาเสน่ห์ มหานิยม โชคลาภค้าขาย ที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้บูชา ประกอบด้วยว่าน108ชนิด อาทิเช่น ผงว่านมหาเสน่ห์ของครูบาอาจารย์ทางเขมรเป็นของเขมรที่แรงที่สุด,ว่านราคะตัวผู้-ตัวเมีย,ว่านไก่กุ๊ก,ว่านไก่ฟ้าพญาแล,ว่านกระแจะจันทร์หงฟ้า,ว่านเครือสาวหลง,ว่านกวักพุทธเจ้าหลวง,ว่านเสน่ห์จันทร์ทอง,ว่านห้าร้อยนาง,ว่านดอกทองตัวผู้-ตัวเมีย,ว่านช้างผสมโขลง,ว่านจูงนางเข้าห้อง,ว่านกวักนางพญาใหญ่,ว่านกวักพญาเศรษฐี,ว่านกวักมหาโชค,ว่านกอบทรัพย์,ว่านมหาเศรษฐี,น้ำมันเทพรัญจวน,น้ำมันเสน่ห์ยาแฝดร้อยรัก และอื่นๆที่บอกไม่ได้ตามสูตรวิชาเขมรขนานแท้ ท่านได้ทำการปลุกเสกแรมปี ท่านได้บรรจุพลังด้วยพระคาถามีพลังแห่งเทพเทวาอารักษ์ ด้วยพระคาถาเมตตามหาเสน่ห์ชั้นสูง คาถาเมตตาใหญ่ คาถาเจ้านายเมตตา คาถาขุนแผน คาถาเอ็นดู คาถาคนนิยม คาถาค้าขายดี คาถาสาลิกาลิ้นทอง คาถาการเจรจา คาถามัดจิตมัดใจ คาถามนต์รัก คาถาใจอ่อน คาถามหาเสน่ห์นะหน้าทอง เป็นต้น
พุทธคุณ เด่นในเรื่องความรัก เมตตามหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม เสริมโชคลาภค้าขาย เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ เข้าหาเจ้านายผู้คนนิยมชมชอบ มีโชคลาภ ลูกค้าเนืองแน่นมีมาไม่ขาดสาย เสริมเรื่องการเจรจาต่อรองทั่วไปใครได้ยินได้ฟังต่างต้องหลงใหลในคำกล่าวเจรจาฟังแล้วเกิดความจับจิตจับใจไพเราะเพราะพริ้ง พูดแล้วทำให้เกิดความเชื่อถือพูดสิ่งใดจะได้สิ่งนั้นตามใจปรารถนา หญิงใด ชายใดฟังแล้ว ได้ยินแล้ว จะต้องหลงใหลใจพะวงถวิลหาทุกเช้าค่ำ ทำการเจรจาข้าขายเป็นที่หนึ่งมีแต่โชคลาภความมั่งคั่งเงินทอง ก่อนใช้ให้ตั้งจิตอธิษฐานให้ดีจะได้สมปรารถนา หากต้องการให้คนรักใคร่เอ็นดูพูดจาดีน่าเชื่อถือ ถ้าค้าขายไม่ดีใช้สีผึ้ง หรือ น้ำมัน เทพรัญจวน อาราธนาระลึกถึงครูบาอาจารย์ แตะแต้มที่สินค้าขอให้ค้าขายดี หากเจรจาขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ให้ใช้แตะแต้มที่ปาก และอธิษฐานให้สำเร็จได้ผลนักแล เหมาะกับทุกอาชีพ พ่อค้า แม่ค้า นักขายประกัน นักร้อง นักพูด พิธีกร งานกลางคืน หรืองานที่ต้องเจรจาต่างๆ แม้แต่หญิงใดชายใด ไร้เสน่ห์ รูปไม่งาม นามไม่เพราะ ก่อนใช้ให้ชำระร่างกายให้สะอาด แล้วอาราธนาแตะแต้มทาที่ปาก ลูบที่คิ้ว ลูบผม แล้วขอให้เป็นที่ต้องตาต้องใจ แก่เพศตรงข้างหรือเพศเดียวกัน เมื่อพบเห็นขอให้บังเกิดความรัก ความหลงใหล จดจำไม่รู้ลืม ถ้าใช้ให้ถูกทางขอสิ่งใดก็สมปรารถนา เหมาะกับผู้ที่ไม่สมหวังเรื่องความรัก ใช้คู่กับพระคาถาจะช่วยเสริมสง่าราศี ให้เด่นมากยิ่งขึ้น
หมายเหตุ สีผึ้งและน้ำมัน มหาเสน่ห์เทพรัญจวน เป็นของแรงและเข้มขลังสายเขมรแท้ เป็นของวิชาชั้นสูง ไม่มีโทษแก่ผู้ใช้ แต่ถ้าใช้ในด้านความรักต้องรักษาสัจจะได้สมปรารถนาแล้ว ห้ามทิ้งขว้างใคร


วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หลวงปู่ข้าวแห้ง (บายกริม) วัดตาปันศรัทธาธรรม จ.สุรินทร์

ถ้าเอ๋ยถึงหลวงปู่สรวง คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จัก หลวงปู่เป็นใคร มาจากไหน อายุเท่าไร ไม่มีใครทราบ รู้แต่ว่าเป็นอริยะสงฆ์ อยู่เหนือกาลเวลา ๕๐๐ พรรษา ท่านจะวัดทั่วจักรวาลนึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป ชาวบ้านนับพันนับหมื่นแห่งดินแดนอีสานใต้ได้ตั่งชื่อให้ท่านว่า "ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง หรือเทวดาเล่นดิน" นั่นเอง อภินิหารต่างเล่าขาoกันมาจากปากต่อปาก สื่อสิ่งพิมพ์แพร่เรื่องราวของหลวงปู่อยู่จนมาถึงปัจจุบัน ถ้าพูดถึงวัตถุมงคลของท่านเป็นที่นิยมกันมากอย่างกว้างขวาง นักเล่นพระ และลูกศิษย์ลูกหาของท่านต่างก็เสาะแสวงหาเพื่อให้ได้มาครอบครองเก็บไว้เป็นสิริมงคล และดีครอบจักรวาล เรื่องพุทธคุณไม่ต้องพูดถึงและบรรยายมาก เช่น พวกมหาเสน่ห์ เมตตามหานิยมค้าขาย โชคลาภ ปัจจุบันมีผู้สืบสานตำนานหลวงปู่สรวง ท่านอริยะสงฆ์ท่านผู้นั้น
หลวงปู่ข้าวแห้ง (บายกริม) วัดตาปันศรัทธาธรรม บ้านตาปัน ต.สำเภาลูน อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ท่านเป็นเกจิอาจารย์ผู้เป็นสหธรรมมิกที่สนิทสนมกันมากกับหลวงปู่สรวง (บายตรึกเจีย) และท่านก็มีอุปนิสัยคล้ายกับ หลวงปู่สรวงมาก เรียกได้ว่าเหมือนพี่น้องอย่างไรอย่างนั้น ท่านชอบธุดงค์เป็นวัตรปฏิบัติ นอกจากนี้แล้วท่านเป็น พระที่ไม่ยึดติดกับวัตถุสิ่งของหรือสิ่งอื่นใดไม่มีสมบัติ หรือของมีค่าที่เป็นของส่วนตัว ท่านสละแล้วซึ่งทุกสิ่ง เมื่อ ท่านได้รับของถวายจากญาติโยม ท่านก็จะเอาไปแจกให้กับชาวบ้าน ผู้ที่ขาดแคลนทานมักแจกเป็นทานจนหมด จะมีไว้ก็แค่จำเป็นตามฐานานุรูปของพระสงฆ์เท่านั้น แม้กระทั่งได้ปัจจัยมาท่านก็จะนำไปทำบุญ และจะสวดบอกกล่าวเทวดาเสริมบารมีให้กับผู้ที่ถวายเงินทุกปี หลังจากออกพรรษาหลวงปู่เข้าแห้งได้ออกเดินธุดงค์ ไปตามลำพังท่านอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรไม่มีใครทราบว่าท่านจะไปไหน ท่านจะไม่บอกให้ใครรู้ต้องคอย ติดตามสืบหาที่อยู่ของท่านจากศิษย์ผู้ใกล้ชิด ท่านเป็นพระที่เปี่ยมไปด้วยเมตตามหาบารมี กระแสจิตของท่านเร็วและแรงความจำดีเป็นเลิศ ท่านเป็นผู้สืบสานตำนาน หลวงปู่สรวง ศรีสะเกษ เป็นมหาเถราจารย์ ๕ แผ่นดิน หลวงปู่ข้าวแห้งตอนนี้ อายุท่าน ๑๒๒ ปี
วัตถุมงคลของหลวงปู่ข้าวแห้ง ประสบการณ์ก็ไม่แพ้วัตถุมงคลของหลวงปู่สรวง ในเรื่องเมตตา โชคลาภ ลูกศิษย์ของท่านถูกหวยรวยเบอร์เป็นว่าเล่น อาทิ คุณราตรี คุณอนุรักษ์ คามจังหาร สองสามีภรรยา อยู่จังหวัด นนทบุรี ได้ไปกราบหลวงปู่ข้าวแห้งเป็นประจำ ได้อธิษฐาน ขอให้ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1 สักครั้งในชีวิต กลับมา ซื้อล๊อตเตอรี่ ก็ได้ถูกลอตเตอรี่ รางวัลที่ 1 ฉบับวันที่ 16 สิงหาคม 2558 (เลข 033363) จำนวนเงิน หกล้านบาท ตาม คำอธิฐานหลังจากนั้น ก็ถูกทั้งล๊อตเตอรี่ 2 ตัว 3 ตัว ตลอดเรื่อยมา ญาติพี่น้องและเพื่อฝูงต่างก็นับถือศรัทธาหลวง ปู่กันทั้งนั้น ต่างก็ถูกหวยรวยเบอร์ไปตามกัน และมีลูกศิษย์จำนวนมากที่ได้โชคจากท่านทั้งหวยบนดินและใต้ดิน ที่ ไม่สามารถนำมาเผยแผ่ได้ นอกจากได้โชคลาภ รวมไปถึงการทำมาค้าขึ้น ซื้อง่ายขายคล่อง การค้าเจริญรุ่งเรือง หน้าที่ การงานเจริญก้าวหน้าหลังจากไปนมัสการกราบท่านมา ประสบการณ์มากมาย แล้วแต่อธิฐานขอในทางใด ทำให้ท่าน มีชื่อเสียงโด่งดังปากต่อปาก แต่ละวันมีลูกศิษย์วนเวียนไปกราบท่านไม่ขาดสาย


วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ประวัติหลวงปู่ผาด ฐิติปัญโญ วัดบ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์

หลวงปู่ผาด ฐิติปัญโญ หรือพระครูวิบูลย์ ปัญญาวัฒน์ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 3 พ.ค.2454 จบ ป.4 เป็นชาวบ้านดู่ ต.ปราสาท อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ บุตรนายเอี้ยง กับ นางเตียบ ดิบประโคน มีพี่น้อง 4 คน หลวงปู่ผาดเป็นคนที่ 3 ขณะหลวงปู่ผาด อายุยังไม่ถึงขวบครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่ ต.ปราสาท อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งได้บรรพชาบวชสามเณร เมื่อปี 2470 อายุ 15 ปี ที่วัดบ้านพลับ ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ บวชได้ 2 พรรษา ลาสิกขาบทไปช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา
ต่อมาปี 2476 ขณะมีอายุ 22 ปี ได้อุปสมบทบวชเรียนที่วัดบ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เมื่อครั้งอดีตสมัยท่านเป็นพระหนุ่มๆ ท่านได้ออกจาริกแสวงบุญไปยังที่ต่างๆ  เพื่อศึกษาหาความรู้ทั้งทางพระเวทย์ วิชาแพทย์แผนโบราณต่างๆ ตามความเชื่อ และความนิยมของชาวพื้นบ้าน ในสมัยนั้น ได้ไปศึกษาเล่าเรียนเวทวิทยาอาคมที่จังหวัดอุดรมีชัย ถึง 3 ปี (ในสมัยนั้น จังหวัดอุดรมีชัย ยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ) จากนั้นท่านได้จาริกไปศึกษาหาความรู้จากครูบาอาจารย์ต่างๆ แทบจะทุกภาคของไทยและประเทศใกล้เคียง เคยธุดงค์ไปศึกษาวิชาอาคมที่นครวัต ที่ประเทศเขมร เป็นเวลา 8 ปี  จนมีความรู้เจนจบในไสยเวททุกแขนง แตกฉานในวิปัสสนากรรมฐาน อย่างแจ่มแจ้ง ต่อมาเมื่อท่านมีอายุมากขึ้น ท่านได้รับถวายที่ดินจากชาวบ้าน จากนั้นท่านก็ได้บูรณะจากพื้นดินที่ว่างเปล่า จนเป็น “วัดตาอี” ให้เห็นเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน 
ต่อมา หลวงปู่หริ่ง เจ้าอาวาส วัดบ้านกรวด ได้มรณภาพลง ชาวอำเภอบ้านกรวด จึงได้นิมนต์ หลวงปู่ผาด มาเป็นเจ้าอาวาส แต่หลวงปู่ได้ปฏิเสธการเป็นเจ้าอาวาส วัดบ้านกรวด มาโดยตลอด แต่ในที่สุดท่านก็ทนแรงศรัทธาของญาติโยมไม่ไหว จึงต้องยอมรับ เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านกรวด เมื่อพ.ศ.2495 ก็ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านกรวด จนถึงปัจจุบัน
หลวงปู่ผาด ท่านได้พัฒนา วัดสาขาของท่านถึง 4 แห่ง ก็คือ วัดตาอี,วัดบ้านปราสาท,วัดบ้านบึงเก่า และวัดบ้านกรวด เป็นรูปเป็นร่างมาจน ถึงปัจจุบันนี้ หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด ท่านเป็นพระที่รักสันโดษ ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ ท่านได้ปฏิเสธ ในการสร้าง วัตถุมงคล มาโดยตลอด แต่บรรดาศิษยานุศิษย์ได้รบเร้า หลวงปู่ว่า มีผู้เลื่อมใสศรัธา ในตัวหลวงปู่ ประสงค์อยากจะได้พระเครื่อง วัตถุมงคลของหลวงปู่ผาดไว้บูชา  เพื่อเป็นสิริมงคล เป็นขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต หลวงปู่ท่านก็เลยอนุญาต ให้จัดสร้าง วัตถุมงคล ที่ออกมาภายใต้ชื่อ หลวงปู่ผาด

เครื่องรางจิ้งจกสองหาง ความเชื่อ

แม้แต่จิ้งจกที่เกาะแปะอยู่ตามฝาผนังบ้านก็อดไม่ได้ที่จะขึ้นทำเนียบเครื่องรางของขลังกับเขาเหมือนกันแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นจิ้งจกธรรมดาๆ เสียเมื่อไหร่เพราะจิ้งจกชนิดนี้เป็นจิ้งจกแปลกที่มีหางสองหาง
เครื่องรางชนิดนี้ก็คือ ซากจิ้งจกที่มีส่วนหางเป็นแฉก มีความเชื่อว่าจิ้งจกนี้จะนำลาภมาให้ คนสมัยโบราณมักจะนำซากจิ้งจกนี้ไปถักเชือกลงรักเลี่ยมกรอบใช้เป็นเครื่องรากพกพาติดตัว โดยหางที่สองอาจเกิดจากความผิดปกติของยีนในตัวจิ้งจก จึงมีกระดูกอ่อนเล็กๆอีกชิ้นหนึ่งยื่นออกมจากบริเวณปลายหางเล็กน้อยมองเห็นเป็นสองแฉก ซึ่งในร้อยตัวอาจจะพบเจอจิ้งจกพิสดารนี้สัก 2 – 3 ตัว จึงกลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์ไปเสียเฉยๆ ตามธรรมชาติของหางจิ้งจกนั้นเมื่อขาดไปแล้วจะสามารถงอกใหม่ได้ จิ้งจกจะสละหางเพื่ออำพรางศัตรูแล้วตัวมันก็หนีไป แต่ในทางความเชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จิ้งจกสองหางถือว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีไว้ในครอบครอง
ความเป็นมาของเรื่องราวชนิดนี้ว่ากันว่าเป็นวิชาเวทโบราณเป็นวิชาแก้วสารพัดนึก สามารถเรียกโชคลาภและเด่นไปในทางเสน่ห์กามคุณ กล่าวกันว่าเมื่อจิ้งจกพิสดารนี้ตายซากจะไม่เน่าแต่จะแห้งแข็งคล้ายหิน อย่างไรก็ดีก็ยังมีผู้ที่ทำของปลอมเลียนแบบเข้าใจว่าเป็นเพราะจิ้งจกที่มีลักษณะพิกลนี้เป็นของหายาก ทำเลียนแบบนั้นง่ายกว่ากันเยอะเอาจิ้งจกทั่วไปมารีดหางออกให้เป็นสองแฉกแล้วนำไปเลี่ยมกรอบแล้วกล่าวอ้างสรรพคุณให้ดูสมจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่จะเช่าเขาจะแยกแยะของจริงของปลอมไม่ออก
การสร้างเครื่องรางชนิดนี้ก็ไม่ได้จำกัดแค่ซากของจิ้งจกที่มีสองหางเท่านั้นยังมีทั้งการแกะงา กะลาตาเดียว และไม้กัลปังหาดำเป็นรูปจิ้งจกสองหางอุดด้วยผงยันต์จากหางของจิ้งจกตัวผู้กับตัวเมียธรรมดาอย่างละหนึ่งตัวบดกับยันต์ใบไม้ชนิดหนึ่งที่เขียนรูปจิ้งจกแล้วชุบน้ำมันอีกวิธีหนึ่งคือ สร้างมาจากเนื้อผสมบ้าง ทองแดงบริสุทธิ์บ้างและโลหะอาถรรพณ์ต่างๆ หล่อเป็นรูปจิ้งจกตัวอ้วนท้วนมีหางสองแฉกแล้วลงอักขระชุบน้ำมันเสน่ห์ นอกจากนี้ยังมีผ้ายันต์ แผ่นยันต์โลหะและการสักยันรูปจิ้งจกด้วยสีดำ แดง และน้ำมัน โดยการสักนั้นมีทั้งการสักเป็นตัวจิ้งจกสองหาง จิ้งจกธรรมดาแบบตัวเดียว หรือสองตัวซึ่งมีลักษณะของหางเกี่ยวรัดกัน อันเป็นความเชื่อในเรื่องกามคุณทางนี้โดยเฉพาะ นิยมสักไว้ในที่ลับหรือตามแขนขาเชื่อกันว่าเป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม เจรจาธุระสิ่งใดก็คล่องแคล่วไม่มีอุปสรรค

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ปลัดขิก ผู้เคียงข้าง เครื่องรางแห่งเสน่ห์ โชคลาภ และปัดเป่าเสนียด

วัตถุมลคลที่เป็นเครื่องรางที่อยู่คู่กับคนสังคมไทยมาตั้งแต่นาน ตั้งแต่สมัยอยุธยา ปลักขิกนั้นนิยมเรียกกันในชื่อ ขุนเพ็ด หรือ ขุนเพชร คำว่าปลัด นั้น หมายถึง ตำแหน่งรองจากตำแหน่งที่เหนือกว่า โดยรู้จักกันในความหมาย ผู้ข้างเคียงคอยช่วยเหลือ ส่วนคำว่า ”ขิก” นั้น คำนี้ได้ถูกเลิกใช้มานานแล้วเพราะเป็นคำหยาบ ได้ผันเปลี่ยนมาใช้คำว่า “คุยหํ” ในภาษาบาลี และได้แผลงมาเป็น ตวย (ต เปลี่ยนเป็น ค) ในภาษาไทย ซึ่งในปัจจุบันคำนี้ก็เป็นคำหยาบไปอีก แตกต่างกันตรงที่ว่า ยังนิยมชมชอบที่แจกให้กันเสมอ ๆใน ปัจจุบัน
ปลัดขิกหรือขุนเพ็ด เป็นเครื่องรางคู่กับโยนี (เครื่องรางรูปของลับของสตรี) ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นดอกไม้ในแดนสวรรค์ เป็นเครื่องหมายของการกำเนิดส่งใหม่ ๆ หรือความงอกงามของชีวิตใหม่
ขุนเพชรหรือปลัดขิก แต่เดิมนิยมให้เด็กผู้ชายอายุตั้งแต่ ๓-๔ ขวบขึ้นไป แขวนไว้ที่เอว เพราะเด็กอายุประมาณนี้จะเริ่มมีเอวแล้ว และเด็กในระยะนี้จะมีภูมิคุ้มกันตนน้อยลง เพราะว่าหย่านมแล้ว แนวโน้มที่จะเจ็บไข้ไม่สบายมีมากขึ้น ความเชื่อที่ว่าผีสาง ทั้งหมายจะทำให้เด็กเจ็บป่วยไม่สบายจึงให้แขวนปลัดหรือขุนเพชรไว้ ทั้งนี้เพราะปลัดขิกที่นำมาแขวนให้กับเด็กชายนั้น จะอยู่ในลักษณะขององคชาต จำลองย่อส่วนโดยปราศจากหนังหุ้มปลาย ระดับของการแขวนก็อยู่ที่เอวมิใช่คอ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ห้อยลงมาใกล้กับระดับองคชาต (อ้ายจู๋) ของเด็กให้มากที่สุด เพื่อจะหลอกผีให้เข้าใจผิดไปว่าเด็กชายนั้นใช่เด็ก หากเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว โดยมีองคชาตที่ปลายเปิดไม่มีหนังหุ้ม ส่วนปลัดขิกเหล่านี้ หากจะให้มีความขลังยิ่งขึ้นก็ควรจะต้องผ่านการปลุกเสกเสียด้วยอีกต่างหาก
ในที่สุดปลัดขิกหรือขุนเพ็ดก็ได้ประกาศอิสรภาพยกฐานะตัวเองขึ้นไปอีกระดับ กลายเป็นสิ่งสมควรแก่การเคารพบูชากราบไหว้ สถิตอยู่ตามศาลหรือเป็นเครื่องนำโชคลาภตั้งไว้บูชา หรือเป็นเครื่องมือเพื่อนำความเจริญก้าวหน้าเนื่องในการทำมาค้าขาย โดยทั่วไปจะนำปลัดขิกไปจิ้มลงบนสินค้าพร้อมกับมีคาถากำกับว่า "โอม ระรวยมหาระรวย สามสิบสอง-วยแห่ห้อมล้อม-ีค้าง่ายขายดีแหก-ีกลับบ้าน ฮ่า ฮ่า ฮ่า" (ควรร่ายด้วยลมหายใจเฮือกเดียว แต่ทำไมจึงต้องสามสิบสอง เรื่องนี้ยังสืบไม่ได้) หรือ "...โอม ไอ้ขลิกไอ้ขลัก เงี่ยงหักเงี่ยงหงิก ปกเอยปกหาง หางเอยหางอะไร บุรุษชอบ-ี สตรีชอบ-วย ทำให้กูร่ำรวย โพะหัว โพะหัว โพะหัว" (คาถาของหลวงพ่อซ่วน เมืองแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา) แต่หากจะตรองดูก็จะเห็นว่า การที่ใช้คำที่ไม่ค่อยสุภาพเป็นคาถากำกับ ก็เพื่อจะให้พวกผีๆ เข้าใจไปว่า สินค้าที่วางขายนั้นเป็นของที่ไม่มีราคาค่างวดวิเศษวิโสอะไร ไม่คุ้มกันที่พวกผีจะมาใส่ใจเสียเวลามารบกวน
ปลักขิกนั้นมีเคล็ดการใช้แตกต่างกันไป บางสำนักนิยมให้ถูกเนื้อถูกตัว คือคาดที่เอวให้โดนเนื้อตัวเจ้าของไว้ แต่อีกแบบหนึ่งนั้น นิยมให้ปลัดขิกแขวนออกมาให้คนอื่นๆเห็นจะยิ่งมีอานุภาพ คงเป็นอิทธิพลมาแต่เดิมที่จะใช้หลอกผี ให้เข้าใจว่า โตแล้ว ผีจะได้ไม่มายุ่ง ส่วนการให้ถูกเนื้อโดนตัวนั้นตามความคิดของผมเข้าใจว่า สิ่งต่างๆจะสมบูรณ์เมื่อธาตุทั้ง ๖ ประสานต่อเนื่องกันไป
ส่วนเรื่องอานุภาพหรือความขลังศักดิ์สิทธิ์ของปลัดขิกนั้น มีอานุภาพครบทุกด้านทุกประการ คาถาที่นิยมใช้กับปลัดขิก คือ หัวใจโจร ที่ว่า “กัณหะเนหะ” ด้วยความหมายที่ว่า โจร เป็นผู้ทำลายล้าง การใช้หัวใจโจรจึงเป็นการใช้เกลือจิ้มเกลือ หนามยอกเอาหนามบ่ง ให้โจรทำลายล้างสิ่งไม่ดีต่างๆให้หมดไป
ปลักขิกนั้นเด่นทั้งเรื่อง คงกระพัน กันเขี้ยวงา และแคล้วคลาดปลอดภัย ป้องกันเสนียด*** ภูติผีต่างๆ ในด้านเมตตามหาเสน่ห์ก็มีอยู่ครบ แต่ที่จะโดดเด่น เห็นจะเป็นแค่ ๒ อย่าง คือ คงกระพัน กันเขี้ยวงา และเมตตาค้าขาย
ข้อดีของเครื่องรางชนิดนี้ คือ ไม่มีข้อห้ามยุ่งยาก ตัดปัญหาเรื่องความเชื่อที่ว่า ของจะเสื่อมเพราะการพลั้งเผลอไปลอดราวผ้าหรืออยู่ในที่ไม่สมควร คาถาของขุนเพชร เองก็มีแต่คำพื้นบ้านหรือออกจะหยาบนิดๆพอน่ารัก
ปลัดขิกเริ่มด้วยเป็นเครื่องมือหลอกผี แต่แล้วต่อมาปลัดขิกก็ได้ยกระดับตัวเองให้กลายสภาพจากเครื่องมือหลอกผีมาเป็นของขลังในตัวของมันเอง โดยไม่จำกัดอยู่กับวัยอีกต่อไป ผู้ใหญ่ซึ่งไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดที่จะหลอกผีให้เข้าใจผิด ก็ยังนิยมที่จะแขวนไว้เป็นเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้าย โดยไม่รู้ถึงสาเหตุหน้าที่ของมัน
ผู้ที่มีความเชื่อมั่นและคิดเสมอว่าตัวเรามีของดี คือ ขุนเพ็ด เผด็จศึกติดตัวอยู่ ยิ่งมีความผูกพันธ์และเชื่อมั่นมากเท่าไร เครื่องรางชนิดย่อมแสดงผลให้ประจักษ์ได้อย่างชัดเจน โดยทั่วไปแล้วเกจอาจารย์เก่าหรือผู้ที่ใช้เครื่องรางทุกอย่าง จะขาดปลัดขิกไม่ได้ เป็นของป้องกันตัวพื้นฐานที่สำคัญ ในฐานะ “ผู้เคียงข้าง” ตลอดกาล
เกจิอาจารย์หลายสำนักสร้างปลัดขิกหรือขุนเพชรได้อย่างยอดเยี่ยม และเห็นผลอย่างเหลือเชื่อ ในทุกวันนี้จะมีผู้นิยมใช้ปลักขิกในฐานะของเครื่องรางที่ทำให้ค้าขายดี มีคนเข้าร้านมากมาย จึงนิยมในหมู่แม่ค้าและเจ้าของกิจการระดับทั่วไป แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่ยังเหนียวแน่นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของปลัดขิก คือ วัยรุ่นหรือหนุ่มที่ยังคงถือเก็บสะสมเครื่องรางของชายชาตรีให้ครบครัน ปลักขิก ตะกรุด จึงเป็นเครื่องรางที่ไม่ถูกมองข้ามในกลุ่มนี้

วัวธนู ควายธนู ดีทางเผ้าบ้าน เฝ้าเรือน ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย

ควายธนู วัวธนู เป็นเครื่องรางตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ ควายธนู วัวธนู นั้นสะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสังคมเกษตรกรรม อันมีความผูกพันกับวัฒนธรรมข้าว ซึ่งเลี้ยงวัวควายไว้ใช้งานในด้านการเกษตร
วิชาเหล่านี้เป็นการทำหุ่นพยนต์รูปแบบหนึ่ง หุ่นพยนต์สามารถทำได้ทั้งรูปคนและสัตว์ ที่นิยมมีทั้งวัวธนูและควายธนู สามารถสร้างได้หลายวิธี เช่น สานจากไม้ไผ่ ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้ง ไปจนถึงหล่อขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า ,เหล็กขนันผีพราย ,เหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น เอามาหลอมรวมกันหล่อเป็นรูปควาย บางสำนักใช้โครงเป็นไม้ไผ่แล้วพอกด้วยครั่งที่ได้จากต้นพุททรา
เมื่อทำควายธนูสำเร็จแล้วต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม แล้วเลี้ยงไว้ให้ดี ต้องหาหญ้าและน้ำเลี้ยงเสมอ เชื่อว่าสามารถใช้ให้เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน หรือไร่นา ใช้งานได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย และสามารถสั่งให้ไปสังหารคู่อริได้อีกด้วย มีคาถาใช้เสก(คาถาควายธนู) เมื่อทำควายธนูว่า โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ
ความเชื่อเรื่องควายธนูมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่าผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดีหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไปท่องเที่ยว จะประมาทหลงลืมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นควายธนูจะหวนมาทำร้ายเจ้าของเสียเอง แต่บางแห่งก็ถือเป็นเสมือนเครื่องรางธรรมดาสำหรับใช้พกพาติดตัว
พุทธคุณควายธนู วัวธนู ดีทางเผ้าบ้าน เฝ้าเรือน ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย

เครื่องรางหุ่นพยนต์ คืออะไร

หุ่นพยนต์ ในวงการไสยศาสตร์เป็นที่ยอมรับกันดีเรื่องมีภูตผีเป็นผู้รับใช้ติดตามจะสายไหนก็มักจะมีข้ารับใช้เสมอ ทั้งสายเทพ สายพราย สายภูติ สายผี สายเวทย์ บางครั้งถูกเรียกไปต่างๆนานา เช่น วิชามารยศาสตร์สร้างปู่โสม การฆ่าคนเพื่อเฝ้าสมบัติพัสถาน กุมารทองกุมารี รักยม อิ่นจันทร์ อิ่นแก้ว ในลัทธิองเมียวโดของญี่ปุ่นมีชิกิงามิ ชิกิยิน เป็นการเสกกระดาษเป็นข้ารับใช้ ซึ่งเป็นพวกเดียวกับหุ่นพยนต์นี้ แต่ต่างกันออกไปที่หุ่นพยนต์จะสามารถสร้างจากวัตถุสิ่งขออะไรก็ได้
หุ่นพยนต์ คำนี้ว่าจากคำว่า “พยนต์” แปลว่า สิ่งที่ผู้ทรงวิทยาคมปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้น เช่น หุ่นพยนต์ เป็นรูปหุ่นจำลองของคน สัตว์ เทวดา ยักษ์ หรืออะไรต่อมิอะไร โดยอาศัยหลักการว่าอยากได้รูปร่างยังไงให้ทำหุ่นแบบนั้น หรือชนิดไหนตามแต่ความต้องการจะใช้หุ่นพยนต์ ประมาณว่าให้เหมาะสมกับงานที่จะใช้ไปทำ
วัสดุที่นำมาทำหุ่นพยนต์ 
วัสดุที่นำมาใช้สามารถทำได้เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่หุ่นหญ้าสาน หุ่นก้านใบไม้สาน หุ่นเถาวัลย์สาน หุ่นหวายสาน ใบไม้ถัก หุ่นไม้แกะสลัก หุ่นไขเทียน หุ่นด้าย หุ่นผ้า หุ่นดิน หุ่นดินเผา หุ่นหิน หุ่นกระเบื้อง หุ่นอิฐ หุ่นปูน หุ่นเงิน หุ่นทอง หุ่นโลหะ ซึ่งการเลือกใช้นั้นอาศัยหลักง่ายๆว่าอาจารย์ไหนใช้อะไรจะต้องใช้ตามอาจารย์ ผีธาตุไหนจะให้เหมาะก็ธาตุนั้นๆ เหมาะสมกับงานดำน้ำลุยไป อย่างไรก็ตามเห็นเพียงก้อนเดียวก็เป็นหุ่นพยนต์ที่ทรงพลังได้ ต้องมาจากวิชาอาคมวิทยาคมของผู้ทรงอาคมแกร่งกล้ามากเพียงไหนหุ่นพยนต์จะมีอานุภาพเพียงนั้น ที่สำคัญเอาสะดวกว่า บางครั้งจะเก็บติดตัวต้องพกพาไปไหนมาไหนง่าย ขนาดกะทัดรัดหรือขนาดใหญ่ก็อาศัยว่าจะใช้งานอย่างไร หุ่นพยนต์ธรรมดามักจะแค่หุ่นที่เสกคล้ายมีชีวิต มีรูปร่างของวิญญาณที่มีฤทธิ์มีเดช แต่หากเป็นหุ่นพยนต์อาถรรพ์ เป็นของอาถรรพ์จะมารเอาวิญญาณ หรือผีสางนางไม้ วิญญาณสิงสาราสัตว์ ผีตายห่าตายโหง ผีตายพราย ตายทั้งกลม ผีแขวนคอตาย ผีรถชนตาย ผีจมน้ำตาย สัมภเวสีผีเร่ร่อน สะกดลงในหุ่นเพื่อกำกับออกมาใช้ เรียกว่า “พรายหุ่นพยนต์”
พุทธคุณหุ่นพยนต์ 
เน้นในเรื่องเมตตามหานิยม โชคลาภ เรียกเงินเรียกทอง ขับไล่สิ่งอัปมงคลอำนาจชั่วร้าย และภูตผีปิศาจ กันคุณไสย ลมเพลมพัด กันและแก้ของไม่ดี บูชาไว้ติดตัวได้ทั้งหญิง  และชาย บูชาไว้ในรถ สำนักงาน ร้านค้า เฝ้าเรือกสวนไร่นา กันขโมย ปกป้องกันภัยให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

หลวงพ่อประสิทธิ์ (พระครูสิทธิ์ธรรมวิมล) วัดห้วยเจริญผล อ.บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี

หลวงพ่อประสิทธิ์ (พระครูสิทธิ์ธรรมวิมล) วัดห้วยเจริญผล อ.บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
ท่านเป็นศิษย์เอกหลวงพ่อเงิน หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม และหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ท่านได้ ศึกษาธรรมะและพระเวทวิทยาคมตำรับตำราการสร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังต่างๆ จากหลวงพ่อเงินตั้งแต่ปี2507-2514 รวม7ปีเต็มๆ จนกระทั่งปี 2529-2539 ท่านได้ศึกษาธรรมะและวิชาอาคมต่อจากหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จากท่านอาจารย์ทั้งสอง ท่านได้เมตตาประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้จนหมดไส้หมดพุง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา รดน้ำมนต์ ปัดเสนียดจัญไร ตำรับพระเวทวิทยาคม และตำราการสร้างพระเครื่องได้ตกทอดมาอยู่กับหลวงพ่อประสิทธิ์ วัดห้วยเจริญผลอย่างปัจจุบัน
จากนั้นท่านได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อไสว วัดปรีดารามในการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลทุกๆอย่างและท่านจะเน้นเรียนวิชาการลงนะหน้าทองจากหลวงพ่อไสวจนสำเร็จวิชาจริงๆและท่านได้เรียนวิชาจากเกจิอาจารย์ผู้ขมังเวทย์เรืองอาคมอีกหลายๆท่าน หลวงพ่อประสิทธิ์ ประมาณปี2544ท่านจัดสร้าง กามเทพ ซึ่งเป็นเทพแห่งความรักความสมหวัง ซึ่งสร้างจากตำราลี้ลับของวัดห้วยเจริญ

พ่องั่ง หรือ ไอ้งั่งตาแดง

เขมร หรือประเทศกัมพูชานั้น เป็นดินแดนที่อยู่ติดกับประเทศไทย และคนเขมรส่วนใหญ่ มีความรู้ด้านไสยเวทย์ไม่มากก็น้อย และของเขมร พี่น้องหลายท่านคงเคยได้ยินว่า ของเขมรแรง เขมรเขาก็มีเครื่องรางที่เล่นหากันเหมือนกัน
ตำนานงั่ง
ในสมัยโบราณ พระงั่งเป็นสิ่งที่นักรบระดับนายกองและคนคุมทัพพกติดตัว ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะหามาพกได้ ภายหลังพบว่าให้คุณทางมหาเสน่ห์ในระดับรุนแรง
งั่ง งั่งมีทั้งงั่งเกศตรง งั่งเกศคด และยังแบ่งตาแดง และตาไม่แดง ปัจจุบันงั่งของแท้นั้นหายากมาก ๆ จนถึงมากที่สุด สรรพคุณหนักไปทางมหาเสน่ห์ และแคล้วคลาด คงกระพันเป็นหลัก งั่งนั้นชอบของสกปรก ลามก อาทิ เลือดวัวสด ๆ ชุดชั้นในของหญิงสาวหาก มีกลิ่นยิ่งชอบมาก ๆ  ในเขมรคนที่เล่นของในปีหนึ่งจะมีพิธีเลี้ยงงั่งกัน 1 ครั้ง บางครอบครัวจัดปี ละ 2 ครั้งก็มี ให้เขาอยู่ในที่ที่สมควรอยู่ และที่คนทั่วไปกล่าวว่าหากคล้องงั่งที่เอวแล้ว คล้องพระที่คอ พระจะเสื่อมอาจารย์ที่แก่กล้าด้านไสยเวทย์ยืนยันว่าไม่จริงเป็นความเชื่อเท่านั้นเอง
เพียงแต่เราให้เขาอยู่ในที่ที่สมควรอยู่ กล่าวคือที่เอว หรือต่ำกว่าเอว เคยกล่าวว่าเมื่อ 40 ปีก่อน เคยเห็นงั่งของแท้ ๆ วางงั่งคว่ำหน้า ไว้กับพื้น แล้วให้ผู้หญิงเดินข้าม ผลคืองั่งพลิกตัวกลับมาด้านหน้าเอง และเจ้าของงั่ง ยอมรับว่า เมียเยอะมาก ๆ ท่านว่ามีไม่ต่ำกว่า 20 คน ด้วยอานุภาพของงั่ง แต่เงินทองไม่ค่อยมี จะมีได้อย่างไร เลี้ยงผู้หญิงหมดครับ สุดท้ายปัจจุบันเจ้าของงั่งกลายเป็นปอบ เพราะผิดครู เข้าใจว่าผิดภรรยาชาวบ้าน หรือได้หญิงแล้วไม่รับเลี้ยง ทิ้งขว้างนั่นเอง ไม่ใช่เอาพลอยสีแดงมาใส่นะครับ แต่เป็นการเพิ่งกสิณของผู้มีสมาธิ จิตและอาคมแก่กล้า จนดวงตาของงั่งกลายเป็นสีแดง 
นักเสี่ยงโชคพนันเช่นกันว่าเวลาไปเล่นพนันในบ่อนเขมร ต้องพกงั่งไปด้วย และต้องสกิดงั่งว่าตื่นได้แล้ว ช่วยให้ได้เงิน จะเลี้ยงด้วยเลือดวัว และก็ได้ดังใจหวังจริง การเล่นเครื่องรางประเภทงั่งนี้จะเป็นเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
ความอัศจรรย์
ที่คนพยายามหางั่งกันเยอะ เพราะงั่งเป็นวัตถุที่ไม่ค่อยหลบซ่อนเรื่องความอัศจรรย์ แต่เผยให้เห็นกันจะจะ ขยับได้ สั่นได้ พลิกตัวได้ บางครั้งถ้าผู้หญิงมีประจำเดือนมาคร่อมก็จะพลิกตัวให้เห็น และนั่นแสดงว่างั่งชอบผู้หญิงคนนั้น จะทำให้เธออยู่กับเราไปตลอด ไม่ทิ้งเราไปไหน บางคนศรัทธามากถึงกับยกเมียให้พระงั่ง กรณีนี้ภรรยาจะฝันว่างั่งมานอนด้วยทุกคืน
ว่ากันว่า งั่งจะมาหาเจ้าของเอง แต่ถ้าผู้ครอบครองเกิดไปทำผิดศีลธรรม เขาก็จะเปลี่ยนเจ้าของเอง เช่น หายไปเองจากกรอบ ทำให้เจ้าของหาไม่เจอก็มี หรือบังตาให้คนเจ้าของมองเห็นเป็นอย่างอื่นไปก็มี



เบี้ยแก้ เครื่องรางของขลัง กันคุณไสย

เบี้ยแก้ เครื่องรางของขลัง กันคุณไสย
เบี้ยแก้ เครื่องรางของขลัง ของไทย
เบี้ยแก้ เป็นเครื่องรางของขลังอันเก่าแก่มาแต่โบราณ การนำหอยเบี้ยมาเป็นเครื่องนั้นไม่ใช่ว่าจะมีอยู่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศต่างๆ ก็ยังนำหอยเบี้ยมาเป็นเครื่องของขลังกันหลายประเทศ เช่น ในอินเดีย เขมร ลาว และอีกหลายๆ ประเทศ แต่คติการสร้างนั้นอาจจะแตกต่างกันไปครับ อย่างในอินเดียศาสนาพราหมณ์จะมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับหอยหลายๆ อย่าง ถ้าเป็นเบี้ยจั่น เขาถือว่าเบี้ยนั้นเป็นตัวแทนพระลักษมี ส่วนของไทยเรานั้นมีการนำเบี้ยมาเป็นเครื่องรางมาแต่สมัยโบราณ คนไทยเรามักนำเบี้ยมาห้อยคอเด็ก ถือเป็นเครื่องรางทางด้านโชคลาภ และคุ้มกันสรรพอันตรายต่างๆ แม้แต่ในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน หรือเรื่องอิเหนา ก็ยังกล่าวถึงเรื่องเบี้ยอยู่หลายตอน
การสร้างเบี้ยแก้ 
คือการนำปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้าไปอยู่ในตัวเบี้ย บางอาจารย์อาจจะเรียกปรอทจากธรรมชาติให้เข้าไปในตัวเบี้ย แล้วท่านก็หาวิธีอุดไว้ไม่ให้ปรอทหนีออกมาด้วยชันโรงใต้ดิน ที่ปลุกเสกแล้ว และหุ้มด้วยผ้าแดงหรือแผ่นตะกั่ว,แผ่นทองแดง แล้วจึงนำมาถักเชือก หรือหุ้ม ทำห่วงไว้ให้ ผูกเอวหรือห้อยคอ การสร้างเบี้ยแก้ ขั้นตอนสุดท้ายคือ การปลุกเสกกำกับอีกครั้งหนึ่ง ปรอทที่นำมาทำเบี้ยแก้เรียกว่า ปรอทเป็น โดยเมื่อเขย่าตัวเบี้ยแก้แล้ว จะได้ยินเสียงดังขลุกๆ อยู่ในตัวเบี้ย แต่ถ้าเป็นเบี้ยสายอ่างทองบางอาจารย์เวลาเขย่าเบี้ยจะมีเสียงดังแซกๆ พระคาถาป้องกันคุณไสย ป้องกันตัวกันกระทำย่ำยีต่างๆ การปลุกเสกบางครั้งเบี้ยแก้สามารถเดินได้เลยทีเดียว
เบี้ยแก้ เครื่องรางของขลังกันคุณไสย การสร้างเบี้ยแก้ ทำจากเบี้ยพลู และเบี้ยจั่น โดยเกจิอาจารย์จะนำปรอทธาตุศักดิ์สิทธิ์ บรรจุในตัวหอยเบี้ย อุดชันโรงใต้ดินแล้วลงอักขระเลขยันต์ปลุกเสกอีกครั้ง เบี้ยแก้ ใช้ป้องกันภูตผีปีศาจ ป้องกันไข้ป่า อยู่ยงเขี้ยวงาทุกอย่างป้องกันคุณไสย ป้องกันยาพิษ ยาสั่ง เรื่องของเบี้ย เคยเป็นกฎหมายไทยโบราณ กล่าวว่า "จะแต่งบุตรและหลานก็ให้ใส่แต่จี้เสมาภควจั่นจำหลัก ประดับพลอยแดงเขียวเท่านั้น อย่าได้ประดับเพชรถมยาราชาวดี ลูกประหล่ำเล่า ก็ให้ใส่แต่ลายแทงแลเกลี้ยงเกี้ยว อย่าให้มีกระจังประจำยามสี่ทิศ แลอย่าให้ใส่กระจับปิ้ง พริกเทศทองคำ กำไลทองใส่เท้า และห้ามอย่าให้ช่างทองทั้งปวงรับจ้างทำจี้เสมาภควจั่นประดับเพชรถมยาราชาวดี และกระจับปิ้ง พริกเทศทองคำ กำไลเท้าและแหวนถมยาราชาวดีประดับพลอย ห้ามมิให้ซื้อขายเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าข้าราชการผู้น้อยแลอาณาประชาราษฎร์ ช่างทองกระทำผิดถ้อยอย่างธรรมเนียม แต่ก่อนจะเป็นโทษอย่างหนัก" คำว่า "ภควจั่น" เป็นคำสองคำ ภคว คำหนึ่ง ซึ่งเป็นชื่อย่อของ ภควดี หมายถึงพระลักษมีคำว่าจั่น คำหนึ่ง หมายถึง เบี้ยจั่น ภควจั่น จึงหมายถึง เบี้ยจั่นอันเป็นเครื่องหมายของพระลักษมีกฎหมายข้อนี้ แสดงถึงการแบ่งชั้นวรรณะของไทยในสมัยโบราณ ไม่ยอมให้สามัญชนห้อยเสมาภควจั่นประดับเพชรลงยาราชาวดี เพื่อสงวนไว้สำหรับลูกเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น อนุญาตให้ห้อยได้เพียงจี้ภควจั่นที่เลี่ยมทองธรรมดาเท่านั้น
พุทธคุณเบี้ยแก้
เบี้ยแก้ นั้นเป็นเบี้ยที่ทำมาจากเบี้ยพลู และเบี้ยจั่น สร้างโดยพระเกจิอาจารย์ซึ่งนำปรอทที่ถือกันว่าเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ มาบรรจุไว้ในตัวหอยเบี้ย แล้วอุดด้วยชันโรงใต้ดิน แล้วท่านจะลงอักขระเลขยันต์ จากนั้นก็นำมาปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง พุทธคุณเบี้ยแก้ ป้องกันภูตผีปีศาจ ป้องกันไข้ป่า อยู่ยงเขี้ยวงาทุกอย่างป้องกันคุณไสย ป้องกันยาพิษ ยาสั่ง รวมถึงอวิชชาอาถรรพ์อื่นๆ
เบี้ยแก้สายต่างๆ
เบี้ยแก้ นั้นมีการสร้างสืบต่อกันมาช้านานมาก เท่าที่สืบค้นได้ก็มีเบี้ยแก้ สายวัดกลางบางแก้วตั้งแต่หลวงปู่ทอง ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่บุญ ที่รู้จักกันมากและพอจะดูออกได้ว่าใช่หรือไม่ก็คือหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ท่านอาจารย์ใบ วัดกลางบางแก้ว และในปัจจุบันก็คือหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ซึ่งได้รับการถ่ายทอดกรรมวิธีการสร้างสืบต่อกันมาสำหรับ เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้วนั้น ปัจจุบันหายากมากครับ และมีราคาสูงมากด้วยเช่นกัน
เบี้ยแก้สายหลวงปู่รอด วัดนายโรง หลวงปู่รอดท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ ลูกศิษย์ของหลวงปู่รอดก็คือหลวงพ่อม่วง วัดคฤหบดี เบี้ยแก้ของหลวงปู่รอดปัจจุบันหายากมาก ราคาสูงมากเช่นกันครับ
เบี้ยแก้สายอ่างทอง หลวงพ่อพัก วัดโบสถ์เบี้ยแก้หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ และเบี้ยแก้หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ ปัจจุบันเบี้ยของหลวงพ่อพัก วัดโบสถ์ก็มีสนนราคาสูงเช่นกัน

การสร้างหมากทุย ตำนานการสร้าง หมากทุย

การสร้างหมากทุย ตำนานการสร้าง หมากทุย
หมากทุย ดีทางแคล้วคลาด คงกระพัน และมหาอุด
  
ในตำรับเครื่องรางของขลังไทยนั้น  ท่านได้บอกไว้ประการหนึ่งว่า  อันต้นไม้ใดก็ดีที่อยู่ดี ๆ ก็มีอันเป็นยืนตายแห้งทั้ง ๆ ที่ผืนดินก็อุดมสมบูรณ์ดีไม่มีวี่แววแห่งโรคต้นไม้นั่นแหละเรียกกันว่า  “ต้นไม้ตายพราย”  จะเป็นหมากตายพราย  มะยมตายพราย  หรือไม้ไผ่ไม้รวกตายพรายก็เหมือนกัน  นำเอาชิ้นส่วนของมันมาทำเครื่องรางของขลังได้อย่าทิ้งให้เปล่าประโยชน์ไป ที่ไม่เข้าหลักก็มีเพียงกล้วยตานี้ตายพรายเท่านั้น  ที่เขาไม่ค่อยจะนิยมเพราะถือว่าเป็นอวมงคล  เหมือนคนออกลูกตายทั้งกลมนั่นแหละ
พูดถึงต้นหมากนั้นตามปกติตายยากจะมีอายุยืน  ที่จะตายได้ก็มีเพียงน้ำท่วมขังนาน ๆ  หรือไม่ก็ถูกลมพัดหักกลางต้นอันนี้ตายแน่นอน  แต่ถ้าหมากนั้นอยู่ดี ๆ ก็ตายแห้งกรอบเหลืองทั้ง ๆ ที่จั่นติดลูกดกพราว  หมากนั้นเป็น  “หมากตายพราย”  ให้นำมาทำเครื่องรางที่เรียกว่า  “หมากทุย”  และหมากทุยนั้นก็คือเครื่องรางที่เกิดจากการเอาลูกหมากตายพรายขนาดย่อมมาประกอบพิธีซึ่งยุ่งยากพอสมควร  จึงทำได้ยากและต้องอาศัยฝีมือของท่านพระอาจารย์ทำเป็นหลัก
 
เท่าที่ได้สำรวจในแวดวงนักนิยมสะสมเครื่องรางของขลังนั้น  จะมีเพียงสองสำนักที่ได้รับความนิยมสูงและแพร่หลายได้แก่ของสำนักวัดหนัง  บางขุนเทียน  โดยท่านเจ้าคุณพระภาวนาโกศลเถระ  (เอี่ยม)  อดีตเจ้าอาวาสและอีกสำหนักหนึ่งคือ  หลวงพ่อทอง  วัดดอนสะท้อน   แต่สำนักหลังนี้จะมีอายุการสร้างหลังกว่าของวัดหนัง  บางขุนเทียน
 
ท่านเจ้าคุณเฒ่านั้นท่านเป็นพระเถระที่ประกอบไปด้วยอำนาจจิตอันสูงส่ง  เดิมทีท่านเป็นพระอธิการธรรมดา ๆ ทว่าท่านมีอภินิหารในพระเครื่องรางมากมาย  จนกระทั่งเล่าลือไปถึงพระบรมมหาราชวัง  ขุนน้ำขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่าง ๆ ได้เดินทางมาขอพระเครื่องรางของท่านไปใช้เป็นอันมาก  แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่  5  ได้ทราบเสด็จเป็นการส่งนพระองค์ไปนมัสการท่านเจ้าคุณเฒ่าที่วัดหนัง
 
ดังนั้นเมื่อท่าเจ้าคุณเฒ่า  วัดหนัง ได้มีโอกาสรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวงอีกครั้งพระคุณท่านก็ได้รับการถวายจีวรแพร  และสิ่งอื่น ๆ ด้วยที่ทรงซื้อมาจากฝรั่งเศสพร้อมกับพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระราชาคณะที่เจ้าคุณพระภาวนาโกศลเถระ ตั้งแต่นั้นมา
การสร้างหมากทุยนั้น ประการแรกท่านจะให้ศิษย์ไปขึ้นต้นหมาก  เพื่อเอาลูกหมากที่ตายพรายลงมา  และลูกหมากนั้นจะต้องเป็นลูกหมากอ่อนที่มีขนาดเล็กพอเหมาะ  ส่วนการจะขึ้นไปนั้นท่านจะสอนคาถาภาวนาให้  เมื่อเวลาขึ้นต้นหมากก็ต้องภาวนาทุกช่วงเวลาไต่  ครั้นพอถึงแล้วก็ไม่ให้เอามือเด็ดแต่ให้ใช้ปากคาบแล้วดึงจนลูกหมากขาดแล้วเวลาคาบไว้ในปากพร้อมกับภาวนาคาถากำกับทุกช่วงไปการขึ้นครั้งหนึ่งจะได้ไม่กี่ลูกเท่านั้น
 
เมื่อได้ลูกหมากตายพรายมาแล้วก็เปิดจุกด้านบนคว้าเอาเนื้อหมากด้านในออกให้หมด  จากนั้นจึงเอาเม็ดพระธาตุ  (หรือถ้าไม่มีก็เอากระดาษสาลงพระนามพระพุทธเจ้าด้วยอักขระแทน)  เมื่อทำการปลุกเสกแล้วก็บรรจุไปด้านในแทนให้เต็ม  จากนั้นก็เอาชันโรงใต้ดินมาอุดปิดทับด้านบนให้แน่น  เพื่อป้องกันความชื้นและพวกตัวแมลง
 
การปลุกเสกกำกับด้วยพลังจิต  จนเกิดอุดมนิมิต  เป็นว่าลูกหมากนั้นลุกขึ้นตั้งได้เอง  จึงถอนจิตแล้วนำไปถักเชือกหุ้มอีกชั้นหนึ่งแล้วลงรักเคลือบผิว  ทำห่วงด้านบนเพื่อใช้สำหรับคล้องคอ  เพราะภายในได้บรรจุพระนามพระพุทธเจ้าสำคัญ ๆ ไว้  จึงไม่สมควรจะนำมาคาดเอว  หรือห้อยพวงกุญแจ  เป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งทีเดียว
 
อานุภาพการใช้ได้กล่าวไว้ว่าเมื่อนำติดตัวจะช่วยป้องกันทางด้านมหาอุด  คงกระพัน  แคล้วคลาด  และยังป้องกันภูตผีปีศาจ  เมื่อมีสิ่งนี้พยายามหมั่นปลูกเสกกำกับด้วยคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ว่า  “นะโมพุทธายะ”  อยู่เสมอ ๆ 
 
หลักการดูหมากทุย  ประการแรกให้ดูลักษณะภายนอกก่อนว่าจะต้องมีลักษณะป้อมตัวโตเรียวมาทางก้น  คล้ายกับลูกหมาก  แม้จะถักหุ้มก็ยังคงมีลักษณะเค้าให้เห็นถ้ากลมอาจจะเป็นลูกอมผงวิเศษที่ถักหุ้ม  ซึ่งมีราคาถูกกว่าหมากทุย  ประการที่สองให้ดูรักที่ลงเอาไว้จะต้องแห้งสนิทห่วงด้านบนมีทั้งสองห่วง  ทองแดงถักเชื่อมกับเชือกและที่เป็นห่วงเชือกถักในตัว  ขนาดไม่เป็นมาตรฐานแต่ไม่ใหญ่มากเท่ากับลูกหมากดิบธรรมดาทั่วไป  ส่วนลายถักเป็นเครื่องสังเกตอีกประการหนึ่ง  สำหรับในรายที่ใช้จนเชือกถักขาดหมด  จะเห็นเนื้อในเป็นผิวหมากแห้งเหี่ยวไม่สด  ชันโรงที่ปิดจะแห้งไม่เปียกเยิ้ม  ส่วนของเทียมนั้นจะสดและใหม่กว่าเห็นได้ชัด  รูปที่นำมาประกอบเรื่องเป็นภาพของแท้จากวัดหนังทั้งสิ้น

วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ม้าเสพนางคือ ?? ประวัติเครื่องรางม้าเสพนาง

เชื่อกันว่าเป็นเครื่องรางที่มาจากทางพม่า เงี้ยว มีมาในล้านนาเมื่อไหร่ไม่มีไครทราบ แต่โบราณล้านนานิยมใช้ยันต์นี้กันมาก เนื่องจากให้ผลทางด้านเสน่ห์รุนแรง ผู้ชายจะไปเที่ยวหาสาวหากได้ติดตัวไปด้วยต้องได้สาว ม้าเสพนางเป็นหนึ่งใน 4 สุดยอดเสน่ห์ โดยมี
  1. ม้าเสพนาง
  2. วัวเสพนาง
  3. หนูกินน้ำนมแมว
  4. วัวกินน้ำนมเสือ
ประวัติม้าเสพนาง 
ตามตำนานเล่าว่า มีครอบครัวหนึ่งมีลูกสาวเลี้ยงม้าตัวผู้อยู่หนึ่งตัว มีลักษณะงามยิ่งนัก หญิงสาวดูแลม้าทุกวัน อาชาหนุ่ม จึงเกิดความรักใคร่ต่อม้าหนุ่ม ต่อมาได้เสพกามกันพ่อทราบเรื่องนี้เข้าจึงโกรธและอับอายมากถึงกับฆ่าม้าตัวนั้นตาย หญิงสาวกลั้นใจตายตามม้าตัวนั้นไป ดังนั้นม้าเสพนางเป็นวิชาที่ใช้ในเรื่องตัณหากามารมณ์อย่างรุนแรง ผู้ที่จะใช้ควรใช้อย่างมีศีลธรรม
ดังนั้นม้าเสพนางจึงเป็นเครื่องรางที่ให้ผลทางด้าน ราคะ ตัณหากามารมณ์รุนแรง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสน่ห์แบบถึงอกถึงใจ ใช้ในงานกลางคืน งานติดต่อเจรจา งานค้าขายธุรกิจล้วนแต่ประสบความสำเร็จดีเยี่ยม
พุทธคุณม้าเสพนาง
ใครมีไว้บูชา หญิงเห็นหญิงรัก ชายเห็นชายรัก มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น เกิดเมตตารักใคร่ จะโดเด่นในเรื่องเมตตามหาเสน่ห์ สมหวังในเรื่องความรัก ชีวิตครอบครัวมีความสุข ความเจริญ เดินทางไปแห่งหนตำบลใด จะมีคนให้ความอนุเคราะห์อุ้มชู ไม่อดอยากยากไร้ มีคนอยากพูดคุย อยากรู้จักด้วย มีเสน่ห์ดีนักแลฯ

เครื่องรางอิ๋น คืออะไร ? พุทธคุณเครื่องรางอิ๋นด้านไหนบ้าง

เครื่องรางอิ๋น คือเครื่องรางสายล้านนาโดยเฉพาะเครื่องรางสายเสน่ห์หรือ เครื่องรางแห่งความรัก
เมื่อกล่าวถึงเครื่องรางสายล้านนาโดยเฉพาะเรื่องเสน่ห์แล้ว ก็ต้องยกหน้าที่ให้ อิ๋น เพราะเป็นที่นิยมเสาะเเสวงหามาครอบครองกันมาก ด้วยคุณวิเศษของอิ๋นนั้นเกินจะบรรยายได้ แต่ที่แน่ ๆ เรื่องเสน่ห์เมตตามหานิยมนั้นเยี่ยมยอด ด้วยลักษณะทางรูปแบบและเอกลักษณ์ของอิ๋นจึงเป็นที่สนใจพิเศษโดยเฉพาะชายฉกรรจ์ล้านนาทั้งหลายที่ชอบเสาะแสวงหาอิ๋นมาใว้กับตัว
อิ๋นมีรูปแบบลักษณะเป็นรูปหญิงชายยืน หรือ นั่ง กอดกันโดยหันหน้าชนกัน ตั้งแต่โบราณมีตำนานของอิ๋นมากมายหลายแห่งต่างกันไปตามภูมิภาค แต่เดิมนั้นไม่ทราบได้ว่าอิ๋นนั้นมีต้นกำเนิดมาจากไหน บางท่านว่ามาจากธิเบตและรับความเชื่อเรื่องศักติว่าหญิงชายเสพสมกันจะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต การมีชายหญิงร่วมกัน เป็นตัวแทนของการเกิด การงอกงาม และ ความสมดุล (หยิน หยาง) และเชื่อสืบต่อกันเข้ามาทางพม่า บางท่านว่าเป็นการสร้างเพื่อระลึกถึงหญิงชายคู่แรกของโลกมนุษย์ ตากะสัง ยายสังกะสี
บางท่านว่าเป็นเทพบนสวรรค์ที่รักกันปานจะกลืนกินไม่ยอมห่างกัน แม้จะถูกลงโทษจากพระนารายณ์ก็ยังไม่ยอมแยกจากกัน จึงเป็นที่มาของความรักที่ “ไม่มีวันที่เราจะพรากจากกัน” นอกจากนี้ยังมีตำนานของอิ๋นมากมาย คนล้านนาเชื่อว่าการที่ได้มีอิ๋นไว้บูชาจะทำให้มีคนเมตตารักไคร่ มีไว้กับบ้านเรือน จะทำให้คนในบ้านหลังนั้นครอบครัวนั้นรักไคร่กันหากมีไว้บูชากับตัวเราก็จะทำให้มีเสน่ห์ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยโชคลาภ ข้าวของเงินทองไหลมาเทมา อิ๋นจึงเป็นที่นิยมตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน 
พุทธคุณวิเศษของเครื่องรางอิ๋น
คุณวิเศษของอิ๋นมีมากมาย  อาทิ ใช้ทางเสน่ห์เมตตามหานิยม ได้พันช่อง (สารพัดทางเสน่ห์) ใช้บูชาเพื่อให้คนในบ้านรักกัน ใช้ทางโชคลาภ เงินทอง ค้าขาย