- ปลัดขิกหลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ
- ปลัดขิกนางครวญ หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้
- ปลัดขิกนางครวญ หลวงพ่อชื่น วัดตาอี บุรีรัมย์ สร้าง 2543 รุ่นสร้างอุโบสถ
วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560
วัตถุมลคลที่เป็นเครื่องรางที่อยู่คู่กับคนสังคมไทยมาตั้งแต่นาน ตั้งแต่สมัยอยุธยา ปลักขิกนั้นนิยมเรียกกันในชื่อ ขุนเพ็ด หรือ ขุนเพชร คำว่าปลัด นั้น หมายถึง ตำแหน่งรองจากตำแหน่งที่เหนือกว่า โดยรู้จักกันในความหมาย ผู้ข้างเคียงคอยช่วยเหลือ ส่วนคำว่า ”ขิก” นั้น คำนี้ได้ถูกเลิกใช้มานานแล้วเพราะเป็นคำหยาบ ได้ผันเปลี่ยนมาใช้คำว่า “คุยหํ” ในภาษาบาลี และได้แผลงมาเป็น ตวย (ต เปลี่ยนเป็น ค) ในภาษาไทย ซึ่งในปัจจุบันคำนี้ก็เป็นคำหยาบไปอีก แตกต่างกันตรงที่ว่า ยังนิยมชมชอบที่แจกให้กันเสมอ ๆใน ปัจจุบัน
ปลัดขิกหรือขุนเพ็ด เป็นเครื่องรางคู่กับโยนี (เครื่องรางรูปของลับของสตรี) ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นดอกไม้ในแดนสวรรค์ เป็นเครื่องหมายของการกำเนิดส่งใหม่ ๆ หรือความงอกงามของชีวิตใหม่
ขุนเพชรหรือปลัดขิก แต่เดิมนิยมให้เด็กผู้ชายอายุตั้งแต่ ๓-๔ ขวบขึ้นไป แขวนไว้ที่เอว เพราะเด็กอายุประมาณนี้จะเริ่มมีเอวแล้ว และเด็กในระยะนี้จะมีภูมิคุ้มกันตนน้อยลง เพราะว่าหย่านมแล้ว แนวโน้มที่จะเจ็บไข้ไม่สบายมีมากขึ้น ความเชื่อที่ว่าผีสาง ทั้งหมายจะทำให้เด็กเจ็บป่วยไม่สบายจึงให้แขวนปลัดหรือขุนเพชรไว้ ทั้งนี้เพราะปลัดขิกที่นำมาแขวนให้กับเด็กชายนั้น จะอยู่ในลักษณะขององคชาต จำลองย่อส่วนโดยปราศจากหนังหุ้มปลาย ระดับของการแขวนก็อยู่ที่เอวมิใช่คอ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ห้อยลงมาใกล้กับระดับองคชาต (อ้ายจู๋) ของเด็กให้มากที่สุด เพื่อจะหลอกผีให้เข้าใจผิดไปว่าเด็กชายนั้นใช่เด็ก หากเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว โดยมีองคชาตที่ปลายเปิดไม่มีหนังหุ้ม ส่วนปลัดขิกเหล่านี้ หากจะให้มีความขลังยิ่งขึ้นก็ควรจะต้องผ่านการปลุกเสกเสียด้วยอีกต่างหาก
ในที่สุดปลัดขิกหรือขุนเพ็ดก็ได้ประกาศอิสรภาพยกฐานะตัวเองขึ้นไปอีกระดับ กลายเป็นสิ่งสมควรแก่การเคารพบูชากราบไหว้ สถิตอยู่ตามศาลหรือเป็นเครื่องนำโชคลาภตั้งไว้บูชา หรือเป็นเครื่องมือเพื่อนำความเจริญก้าวหน้าเนื่องในการทำมาค้าขาย โดยทั่วไปจะนำปลัดขิกไปจิ้มลงบนสินค้าพร้อมกับมีคาถากำกับว่า "โอม ระรวยมหาระรวย สามสิบสอง-วยแห่ห้อมล้อม-ีค้าง่ายขายดีแหก-ีกลับบ้าน ฮ่า ฮ่า ฮ่า" (ควรร่ายด้วยลมหายใจเฮือกเดียว แต่ทำไมจึงต้องสามสิบสอง เรื่องนี้ยังสืบไม่ได้) หรือ "...โอม ไอ้ขลิกไอ้ขลัก เงี่ยงหักเงี่ยงหงิก ปกเอยปกหาง หางเอยหางอะไร บุรุษชอบ-ี สตรีชอบ-วย ทำให้กูร่ำรวย โพะหัว โพะหัว โพะหัว" (คาถาของหลวงพ่อซ่วน เมืองแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา) แต่หากจะตรองดูก็จะเห็นว่า การที่ใช้คำที่ไม่ค่อยสุภาพเป็นคาถากำกับ ก็เพื่อจะให้พวกผีๆ เข้าใจไปว่า สินค้าที่วางขายนั้นเป็นของที่ไม่มีราคาค่างวดวิเศษวิโสอะไร ไม่คุ้มกันที่พวกผีจะมาใส่ใจเสียเวลามารบกวน
ปลักขิกนั้นมีเคล็ดการใช้แตกต่างกันไป บางสำนักนิยมให้ถูกเนื้อถูกตัว คือคาดที่เอวให้โดนเนื้อตัวเจ้าของไว้ แต่อีกแบบหนึ่งนั้น นิยมให้ปลัดขิกแขวนออกมาให้คนอื่นๆเห็นจะยิ่งมีอานุภาพ คงเป็นอิทธิพลมาแต่เดิมที่จะใช้หลอกผี ให้เข้าใจว่า โตแล้ว ผีจะได้ไม่มายุ่ง ส่วนการให้ถูกเนื้อโดนตัวนั้นตามความคิดของผมเข้าใจว่า สิ่งต่างๆจะสมบูรณ์เมื่อธาตุทั้ง ๖ ประสานต่อเนื่องกันไป
ส่วนเรื่องอานุภาพหรือความขลังศักดิ์สิทธิ์ของปลัดขิกนั้น มีอานุภาพครบทุกด้านทุกประการ คาถาที่นิยมใช้กับปลัดขิก คือ หัวใจโจร ที่ว่า “กัณหะเนหะ” ด้วยความหมายที่ว่า โจร เป็นผู้ทำลายล้าง การใช้หัวใจโจรจึงเป็นการใช้เกลือจิ้มเกลือ หนามยอกเอาหนามบ่ง ให้โจรทำลายล้างสิ่งไม่ดีต่างๆให้หมดไป
ปลักขิกนั้นเด่นทั้งเรื่อง คงกระพัน กันเขี้ยวงา และแคล้วคลาดปลอดภัย ป้องกันเสนียด*** ภูติผีต่างๆ ในด้านเมตตามหาเสน่ห์ก็มีอยู่ครบ แต่ที่จะโดดเด่น เห็นจะเป็นแค่ ๒ อย่าง คือ คงกระพัน กันเขี้ยวงา และเมตตาค้าขาย
ข้อดีของเครื่องรางชนิดนี้ คือ ไม่มีข้อห้ามยุ่งยาก ตัดปัญหาเรื่องความเชื่อที่ว่า ของจะเสื่อมเพราะการพลั้งเผลอไปลอดราวผ้าหรืออยู่ในที่ไม่สมควร คาถาของขุนเพชร เองก็มีแต่คำพื้นบ้านหรือออกจะหยาบนิดๆพอน่ารัก
ปลัดขิกเริ่มด้วยเป็นเครื่องมือหลอกผี แต่แล้วต่อมาปลัดขิกก็ได้ยกระดับตัวเองให้กลายสภาพจากเครื่องมือหลอกผีมาเป็นของขลังในตัวของมันเอง โดยไม่จำกัดอยู่กับวัยอีกต่อไป ผู้ใหญ่ซึ่งไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดที่จะหลอกผีให้เข้าใจผิด ก็ยังนิยมที่จะแขวนไว้เป็นเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้าย โดยไม่รู้ถึงสาเหตุหน้าที่ของมัน
ผู้ที่มีความเชื่อมั่นและคิดเสมอว่าตัวเรามีของดี คือ ขุนเพ็ด เผด็จศึกติดตัวอยู่ ยิ่งมีความผูกพันธ์และเชื่อมั่นมากเท่าไร เครื่องรางชนิดย่อมแสดงผลให้ประจักษ์ได้อย่างชัดเจน โดยทั่วไปแล้วเกจอาจารย์เก่าหรือผู้ที่ใช้เครื่องรางทุกอย่าง จะขาดปลัดขิกไม่ได้ เป็นของป้องกันตัวพื้นฐานที่สำคัญ ในฐานะ “ผู้เคียงข้าง” ตลอดกาล
เกจิอาจารย์หลายสำนักสร้างปลัดขิกหรือขุนเพชรได้อย่างยอดเยี่ยม และเห็นผลอย่างเหลือเชื่อ ในทุกวันนี้จะมีผู้นิยมใช้ปลักขิกในฐานะของเครื่องรางที่ทำให้ค้าขายดี มีคนเข้าร้านมากมาย จึงนิยมในหมู่แม่ค้าและเจ้าของกิจการระดับทั่วไป แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่ยังเหนียวแน่นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของปลัดขิก คือ วัยรุ่นหรือหนุ่มที่ยังคงถือเก็บสะสมเครื่องรางของชายชาตรีให้ครบครัน ปลักขิก ตะกรุด จึงเป็นเครื่องรางที่ไม่ถูกมองข้ามในกลุ่มนี้
วัวธนู ควายธนู ดีทางเผ้าบ้าน เฝ้าเรือน ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย
ควายธนู วัวธนู เป็นเครื่องรางตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ ควายธนู วัวธนู นั้นสะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสังคมเกษตรกรรม อันมีความผูกพันกับวัฒนธรรมข้าว ซึ่งเลี้ยงวัวควายไว้ใช้งานในด้านการเกษตร
วิชาเหล่านี้เป็นการทำหุ่นพยนต์รูปแบบหนึ่ง หุ่นพยนต์สามารถทำได้ทั้งรูปคนและสัตว์ ที่นิยมมีทั้งวัวธนูและควายธนู สามารถสร้างได้หลายวิธี เช่น สานจากไม้ไผ่ ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้ง ไปจนถึงหล่อขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า ,เหล็กขนันผีพราย ,เหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น เอามาหลอมรวมกันหล่อเป็นรูปควาย บางสำนักใช้โครงเป็นไม้ไผ่แล้วพอกด้วยครั่งที่ได้จากต้นพุททรา
เมื่อทำควายธนูสำเร็จแล้วต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม แล้วเลี้ยงไว้ให้ดี ต้องหาหญ้าและน้ำเลี้ยงเสมอ เชื่อว่าสามารถใช้ให้เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน หรือไร่นา ใช้งานได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย และสามารถสั่งให้ไปสังหารคู่อริได้อีกด้วย มีคาถาใช้เสก(คาถาควายธนู) เมื่อทำควายธนูว่า โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ
ความเชื่อเรื่องควายธนูมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่าผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดีหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไปท่องเที่ยว จะประมาทหลงลืมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นควายธนูจะหวนมาทำร้ายเจ้าของเสียเอง แต่บางแห่งก็ถือเป็นเสมือนเครื่องรางธรรมดาสำหรับใช้พกพาติดตัว
พุทธคุณควายธนู วัวธนู ดีทางเผ้าบ้าน เฝ้าเรือน ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย
เครื่องรางหุ่นพยนต์ คืออะไร
หุ่นพยนต์ ในวงการไสยศาสตร์เป็นที่ยอมรับกันดีเรื่องมีภูตผีเป็นผู้รับใช้ติดตามจะสายไหนก็มักจะมีข้ารับใช้เสมอ ทั้งสายเทพ สายพราย สายภูติ สายผี สายเวทย์ บางครั้งถูกเรียกไปต่างๆนานา เช่น วิชามารยศาสตร์สร้างปู่โสม การฆ่าคนเพื่อเฝ้าสมบัติพัสถาน กุมารทองกุมารี รักยม อิ่นจันทร์ อิ่นแก้ว ในลัทธิองเมียวโดของญี่ปุ่นมีชิกิงามิ ชิกิยิน เป็นการเสกกระดาษเป็นข้ารับใช้ ซึ่งเป็นพวกเดียวกับหุ่นพยนต์นี้ แต่ต่างกันออกไปที่หุ่นพยนต์จะสามารถสร้างจากวัตถุสิ่งขออะไรก็ได้
หุ่นพยนต์ คำนี้ว่าจากคำว่า “พยนต์” แปลว่า สิ่งที่ผู้ทรงวิทยาคมปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้น เช่น หุ่นพยนต์ เป็นรูปหุ่นจำลองของคน สัตว์ เทวดา ยักษ์ หรืออะไรต่อมิอะไร โดยอาศัยหลักการว่าอยากได้รูปร่างยังไงให้ทำหุ่นแบบนั้น หรือชนิดไหนตามแต่ความต้องการจะใช้หุ่นพยนต์ ประมาณว่าให้เหมาะสมกับงานที่จะใช้ไปทำ
วัสดุที่นำมาทำหุ่นพยนต์
วัสดุที่นำมาใช้สามารถทำได้เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่หุ่นหญ้าสาน หุ่นก้านใบไม้สาน หุ่นเถาวัลย์สาน หุ่นหวายสาน ใบไม้ถัก หุ่นไม้แกะสลัก หุ่นไขเทียน หุ่นด้าย หุ่นผ้า หุ่นดิน หุ่นดินเผา หุ่นหิน หุ่นกระเบื้อง หุ่นอิฐ หุ่นปูน หุ่นเงิน หุ่นทอง หุ่นโลหะ ซึ่งการเลือกใช้นั้นอาศัยหลักง่ายๆว่าอาจารย์ไหนใช้อะไรจะต้องใช้ตามอาจารย์ ผีธาตุไหนจะให้เหมาะก็ธาตุนั้นๆ เหมาะสมกับงานดำน้ำลุยไป อย่างไรก็ตามเห็นเพียงก้อนเดียวก็เป็นหุ่นพยนต์ที่ทรงพลังได้ ต้องมาจากวิชาอาคมวิทยาคมของผู้ทรงอาคมแกร่งกล้ามากเพียงไหนหุ่นพยนต์จะมีอานุภาพเพียงนั้น ที่สำคัญเอาสะดวกว่า บางครั้งจะเก็บติดตัวต้องพกพาไปไหนมาไหนง่าย ขนาดกะทัดรัดหรือขนาดใหญ่ก็อาศัยว่าจะใช้งานอย่างไร หุ่นพยนต์ธรรมดามักจะแค่หุ่นที่เสกคล้ายมีชีวิต มีรูปร่างของวิญญาณที่มีฤทธิ์มีเดช แต่หากเป็นหุ่นพยนต์อาถรรพ์ เป็นของอาถรรพ์จะมารเอาวิญญาณ หรือผีสางนางไม้ วิญญาณสิงสาราสัตว์ ผีตายห่าตายโหง ผีตายพราย ตายทั้งกลม ผีแขวนคอตาย ผีรถชนตาย ผีจมน้ำตาย สัมภเวสีผีเร่ร่อน สะกดลงในหุ่นเพื่อกำกับออกมาใช้ เรียกว่า “พรายหุ่นพยนต์”
วัสดุที่นำมาใช้สามารถทำได้เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่หุ่นหญ้าสาน หุ่นก้านใบไม้สาน หุ่นเถาวัลย์สาน หุ่นหวายสาน ใบไม้ถัก หุ่นไม้แกะสลัก หุ่นไขเทียน หุ่นด้าย หุ่นผ้า หุ่นดิน หุ่นดินเผา หุ่นหิน หุ่นกระเบื้อง หุ่นอิฐ หุ่นปูน หุ่นเงิน หุ่นทอง หุ่นโลหะ ซึ่งการเลือกใช้นั้นอาศัยหลักง่ายๆว่าอาจารย์ไหนใช้อะไรจะต้องใช้ตามอาจารย์ ผีธาตุไหนจะให้เหมาะก็ธาตุนั้นๆ เหมาะสมกับงานดำน้ำลุยไป อย่างไรก็ตามเห็นเพียงก้อนเดียวก็เป็นหุ่นพยนต์ที่ทรงพลังได้ ต้องมาจากวิชาอาคมวิทยาคมของผู้ทรงอาคมแกร่งกล้ามากเพียงไหนหุ่นพยนต์จะมีอานุภาพเพียงนั้น ที่สำคัญเอาสะดวกว่า บางครั้งจะเก็บติดตัวต้องพกพาไปไหนมาไหนง่าย ขนาดกะทัดรัดหรือขนาดใหญ่ก็อาศัยว่าจะใช้งานอย่างไร หุ่นพยนต์ธรรมดามักจะแค่หุ่นที่เสกคล้ายมีชีวิต มีรูปร่างของวิญญาณที่มีฤทธิ์มีเดช แต่หากเป็นหุ่นพยนต์อาถรรพ์ เป็นของอาถรรพ์จะมารเอาวิญญาณ หรือผีสางนางไม้ วิญญาณสิงสาราสัตว์ ผีตายห่าตายโหง ผีตายพราย ตายทั้งกลม ผีแขวนคอตาย ผีรถชนตาย ผีจมน้ำตาย สัมภเวสีผีเร่ร่อน สะกดลงในหุ่นเพื่อกำกับออกมาใช้ เรียกว่า “พรายหุ่นพยนต์”
พุทธคุณหุ่นพยนต์
เน้นในเรื่องเมตตามหานิยม โชคลาภ เรียกเงินเรียกทอง ขับไล่สิ่งอัปมงคลอำนาจชั่วร้าย และภูตผีปิศาจ กันคุณไสย ลมเพลมพัด กันและแก้ของไม่ดี บูชาไว้ติดตัวได้ทั้งหญิง และชาย บูชาไว้ในรถ สำนักงาน ร้านค้า เฝ้าเรือกสวนไร่นา กันขโมย ปกป้องกันภัยให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
เน้นในเรื่องเมตตามหานิยม โชคลาภ เรียกเงินเรียกทอง ขับไล่สิ่งอัปมงคลอำนาจชั่วร้าย และภูตผีปิศาจ กันคุณไสย ลมเพลมพัด กันและแก้ของไม่ดี บูชาไว้ติดตัวได้ทั้งหญิง และชาย บูชาไว้ในรถ สำนักงาน ร้านค้า เฝ้าเรือกสวนไร่นา กันขโมย ปกป้องกันภัยให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
หลวงพ่อประสิทธิ์ (พระครูสิทธิ์ธรรมวิมล) วัดห้วยเจริญผล อ.บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
หลวงพ่อประสิทธิ์ (พระครูสิทธิ์ธรรมวิมล) วัดห้วยเจริญผล อ.บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
ท่านเป็นศิษย์เอกหลวงพ่อเงิน หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม และหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ท่านได้ ศึกษาธรรมะและพระเวทวิทยาคมตำรับตำราการสร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังต่างๆ จากหลวงพ่อเงินตั้งแต่ปี2507-2514 รวม7ปีเต็มๆ จนกระทั่งปี 2529-2539 ท่านได้ศึกษาธรรมะและวิชาอาคมต่อจากหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จากท่านอาจารย์ทั้งสอง ท่านได้เมตตาประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้จนหมดไส้หมดพุง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา รดน้ำมนต์ ปัดเสนียดจัญไร ตำรับพระเวทวิทยาคม และตำราการสร้างพระเครื่องได้ตกทอดมาอยู่กับหลวงพ่อประสิทธิ์ วัดห้วยเจริญผลอย่างปัจจุบัน
จากนั้นท่านได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อไสว วัดปรีดารามในการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลทุกๆอย่างและท่านจะเน้นเรียนวิชาการลงนะหน้าทองจากหลวงพ่อไสวจนสำเร็จวิชาจริงๆและท่านได้เรียนวิชาจากเกจิอาจารย์ผู้ขมังเวทย์เรืองอาคมอีกหลายๆท่าน หลวงพ่อประสิทธิ์ ประมาณปี2544ท่านจัดสร้าง กามเทพ ซึ่งเป็นเทพแห่งความรักความสมหวัง ซึ่งสร้างจากตำราลี้ลับของวัดห้วยเจริญ
พ่องั่ง หรือ ไอ้งั่งตาแดง
เขมร หรือประเทศกัมพูชานั้น เป็นดินแดนที่อยู่ติดกับประเทศไทย และคนเขมรส่วนใหญ่ มีความรู้ด้านไสยเวทย์ไม่มากก็น้อย และของเขมร พี่น้องหลายท่านคงเคยได้ยินว่า ของเขมรแรง เขมรเขาก็มีเครื่องรางที่เล่นหากันเหมือนกัน
ตำนานงั่ง
ในสมัยโบราณ พระงั่งเป็นสิ่งที่นักรบระดับนายกองและคนคุมทัพพกติดตัว ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะหามาพกได้ ภายหลังพบว่าให้คุณทางมหาเสน่ห์ในระดับรุนแรง
ในสมัยโบราณ พระงั่งเป็นสิ่งที่นักรบระดับนายกองและคนคุมทัพพกติดตัว ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะหามาพกได้ ภายหลังพบว่าให้คุณทางมหาเสน่ห์ในระดับรุนแรง
งั่ง งั่งมีทั้งงั่งเกศตรง งั่งเกศคด และยังแบ่งตาแดง และตาไม่แดง ปัจจุบันงั่งของแท้นั้นหายากมาก ๆ จนถึงมากที่สุด สรรพคุณหนักไปทางมหาเสน่ห์ และแคล้วคลาด คงกระพันเป็นหลัก งั่งนั้นชอบของสกปรก ลามก อาทิ เลือดวัวสด ๆ ชุดชั้นในของหญิงสาวหาก มีกลิ่นยิ่งชอบมาก ๆ ในเขมรคนที่เล่นของในปีหนึ่งจะมีพิธีเลี้ยงงั่งกัน 1 ครั้ง บางครอบครัวจัดปี ละ 2 ครั้งก็มี ให้เขาอยู่ในที่ที่สมควรอยู่ และที่คนทั่วไปกล่าวว่าหากคล้องงั่งที่เอวแล้ว คล้องพระที่คอ พระจะเสื่อมอาจารย์ที่แก่กล้าด้านไสยเวทย์ยืนยันว่าไม่จริงเป็นความเชื่อเท่านั้นเอง
เพียงแต่เราให้เขาอยู่ในที่ที่สมควรอยู่ กล่าวคือที่เอว หรือต่ำกว่าเอว เคยกล่าวว่าเมื่อ 40 ปีก่อน เคยเห็นงั่งของแท้ ๆ วางงั่งคว่ำหน้า ไว้กับพื้น แล้วให้ผู้หญิงเดินข้าม ผลคืองั่งพลิกตัวกลับมาด้านหน้าเอง และเจ้าของงั่ง ยอมรับว่า เมียเยอะมาก ๆ ท่านว่ามีไม่ต่ำกว่า 20 คน ด้วยอานุภาพของงั่ง แต่เงินทองไม่ค่อยมี จะมีได้อย่างไร เลี้ยงผู้หญิงหมดครับ สุดท้ายปัจจุบันเจ้าของงั่งกลายเป็นปอบ เพราะผิดครู เข้าใจว่าผิดภรรยาชาวบ้าน หรือได้หญิงแล้วไม่รับเลี้ยง ทิ้งขว้างนั่นเอง ไม่ใช่เอาพลอยสีแดงมาใส่นะครับ แต่เป็นการเพิ่งกสิณของผู้มีสมาธิ จิตและอาคมแก่กล้า จนดวงตาของงั่งกลายเป็นสีแดง
นักเสี่ยงโชคพนันเช่นกันว่าเวลาไปเล่นพนันในบ่อนเขมร ต้องพกงั่งไปด้วย และต้องสกิดงั่งว่าตื่นได้แล้ว ช่วยให้ได้เงิน จะเลี้ยงด้วยเลือดวัว และก็ได้ดังใจหวังจริง การเล่นเครื่องรางประเภทงั่งนี้จะเป็นเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
ความอัศจรรย์
ที่คนพยายามหางั่งกันเยอะ เพราะงั่งเป็นวัตถุที่ไม่ค่อยหลบซ่อนเรื่องความอัศจรรย์ แต่เผยให้เห็นกันจะจะ ขยับได้ สั่นได้ พลิกตัวได้ บางครั้งถ้าผู้หญิงมีประจำเดือนมาคร่อมก็จะพลิกตัวให้เห็น และนั่นแสดงว่างั่งชอบผู้หญิงคนนั้น จะทำให้เธออยู่กับเราไปตลอด ไม่ทิ้งเราไปไหน บางคนศรัทธามากถึงกับยกเมียให้พระงั่ง กรณีนี้ภรรยาจะฝันว่างั่งมานอนด้วยทุกคืน
ที่คนพยายามหางั่งกันเยอะ เพราะงั่งเป็นวัตถุที่ไม่ค่อยหลบซ่อนเรื่องความอัศจรรย์ แต่เผยให้เห็นกันจะจะ ขยับได้ สั่นได้ พลิกตัวได้ บางครั้งถ้าผู้หญิงมีประจำเดือนมาคร่อมก็จะพลิกตัวให้เห็น และนั่นแสดงว่างั่งชอบผู้หญิงคนนั้น จะทำให้เธออยู่กับเราไปตลอด ไม่ทิ้งเราไปไหน บางคนศรัทธามากถึงกับยกเมียให้พระงั่ง กรณีนี้ภรรยาจะฝันว่างั่งมานอนด้วยทุกคืน
ว่ากันว่า งั่งจะมาหาเจ้าของเอง แต่ถ้าผู้ครอบครองเกิดไปทำผิดศีลธรรม เขาก็จะเปลี่ยนเจ้าของเอง เช่น หายไปเองจากกรอบ ทำให้เจ้าของหาไม่เจอก็มี หรือบังตาให้คนเจ้าของมองเห็นเป็นอย่างอื่นไปก็มี
เบี้ยแก้ เครื่องรางของขลัง กันคุณไสย
เบี้ยแก้ เครื่องรางของขลัง กันคุณไสย
เบี้ยแก้ เครื่องรางของขลัง ของไทย
เบี้ยแก้ เป็นเครื่องรางของขลังอันเก่าแก่มาแต่โบราณ การนำหอยเบี้ยมาเป็นเครื่องนั้นไม่ใช่ว่าจะมีอยู่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศต่างๆ ก็ยังนำหอยเบี้ยมาเป็นเครื่องของขลังกันหลายประเทศ เช่น ในอินเดีย เขมร ลาว และอีกหลายๆ ประเทศ แต่คติการสร้างนั้นอาจจะแตกต่างกันไปครับ อย่างในอินเดียศาสนาพราหมณ์จะมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับหอยหลายๆ อย่าง ถ้าเป็นเบี้ยจั่น เขาถือว่าเบี้ยนั้นเป็นตัวแทนพระลักษมี ส่วนของไทยเรานั้นมีการนำเบี้ยมาเป็นเครื่องรางมาแต่สมัยโบราณ คนไทยเรามักนำเบี้ยมาห้อยคอเด็ก ถือเป็นเครื่องรางทางด้านโชคลาภ และคุ้มกันสรรพอันตรายต่างๆ แม้แต่ในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน หรือเรื่องอิเหนา ก็ยังกล่าวถึงเรื่องเบี้ยอยู่หลายตอน
เบี้ยแก้ เป็นเครื่องรางของขลังอันเก่าแก่มาแต่โบราณ การนำหอยเบี้ยมาเป็นเครื่องนั้นไม่ใช่ว่าจะมีอยู่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศต่างๆ ก็ยังนำหอยเบี้ยมาเป็นเครื่องของขลังกันหลายประเทศ เช่น ในอินเดีย เขมร ลาว และอีกหลายๆ ประเทศ แต่คติการสร้างนั้นอาจจะแตกต่างกันไปครับ อย่างในอินเดียศาสนาพราหมณ์จะมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับหอยหลายๆ อย่าง ถ้าเป็นเบี้ยจั่น เขาถือว่าเบี้ยนั้นเป็นตัวแทนพระลักษมี ส่วนของไทยเรานั้นมีการนำเบี้ยมาเป็นเครื่องรางมาแต่สมัยโบราณ คนไทยเรามักนำเบี้ยมาห้อยคอเด็ก ถือเป็นเครื่องรางทางด้านโชคลาภ และคุ้มกันสรรพอันตรายต่างๆ แม้แต่ในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน หรือเรื่องอิเหนา ก็ยังกล่าวถึงเรื่องเบี้ยอยู่หลายตอน
การสร้างเบี้ยแก้
คือการนำปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้าไปอยู่ในตัวเบี้ย บางอาจารย์อาจจะเรียกปรอทจากธรรมชาติให้เข้าไปในตัวเบี้ย แล้วท่านก็หาวิธีอุดไว้ไม่ให้ปรอทหนีออกมาด้วยชันโรงใต้ดิน ที่ปลุกเสกแล้ว และหุ้มด้วยผ้าแดงหรือแผ่นตะกั่ว,แผ่นทองแดง แล้วจึงนำมาถักเชือก หรือหุ้ม ทำห่วงไว้ให้ ผูกเอวหรือห้อยคอ การสร้างเบี้ยแก้ ขั้นตอนสุดท้ายคือ การปลุกเสกกำกับอีกครั้งหนึ่ง ปรอทที่นำมาทำเบี้ยแก้เรียกว่า ปรอทเป็น โดยเมื่อเขย่าตัวเบี้ยแก้แล้ว จะได้ยินเสียงดังขลุกๆ อยู่ในตัวเบี้ย แต่ถ้าเป็นเบี้ยสายอ่างทองบางอาจารย์เวลาเขย่าเบี้ยจะมีเสียงดังแซกๆ พระคาถาป้องกันคุณไสย ป้องกันตัวกันกระทำย่ำยีต่างๆ การปลุกเสกบางครั้งเบี้ยแก้สามารถเดินได้เลยทีเดียว
คือการนำปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้าไปอยู่ในตัวเบี้ย บางอาจารย์อาจจะเรียกปรอทจากธรรมชาติให้เข้าไปในตัวเบี้ย แล้วท่านก็หาวิธีอุดไว้ไม่ให้ปรอทหนีออกมาด้วยชันโรงใต้ดิน ที่ปลุกเสกแล้ว และหุ้มด้วยผ้าแดงหรือแผ่นตะกั่ว,แผ่นทองแดง แล้วจึงนำมาถักเชือก หรือหุ้ม ทำห่วงไว้ให้ ผูกเอวหรือห้อยคอ การสร้างเบี้ยแก้ ขั้นตอนสุดท้ายคือ การปลุกเสกกำกับอีกครั้งหนึ่ง ปรอทที่นำมาทำเบี้ยแก้เรียกว่า ปรอทเป็น โดยเมื่อเขย่าตัวเบี้ยแก้แล้ว จะได้ยินเสียงดังขลุกๆ อยู่ในตัวเบี้ย แต่ถ้าเป็นเบี้ยสายอ่างทองบางอาจารย์เวลาเขย่าเบี้ยจะมีเสียงดังแซกๆ พระคาถาป้องกันคุณไสย ป้องกันตัวกันกระทำย่ำยีต่างๆ การปลุกเสกบางครั้งเบี้ยแก้สามารถเดินได้เลยทีเดียว
เบี้ยแก้ เครื่องรางของขลังกันคุณไสย การสร้างเบี้ยแก้ ทำจากเบี้ยพลู และเบี้ยจั่น โดยเกจิอาจารย์จะนำปรอทธาตุศักดิ์สิทธิ์ บรรจุในตัวหอยเบี้ย อุดชันโรงใต้ดินแล้วลงอักขระเลขยันต์ปลุกเสกอีกครั้ง เบี้ยแก้ ใช้ป้องกันภูตผีปีศาจ ป้องกันไข้ป่า อยู่ยงเขี้ยวงาทุกอย่างป้องกันคุณไสย ป้องกันยาพิษ ยาสั่ง เรื่องของเบี้ย เคยเป็นกฎหมายไทยโบราณ กล่าวว่า "จะแต่งบุตรและหลานก็ให้ใส่แต่จี้เสมาภควจั่นจำหลัก ประดับพลอยแดงเขียวเท่านั้น อย่าได้ประดับเพชรถมยาราชาวดี ลูกประหล่ำเล่า ก็ให้ใส่แต่ลายแทงแลเกลี้ยงเกี้ยว อย่าให้มีกระจังประจำยามสี่ทิศ แลอย่าให้ใส่กระจับปิ้ง พริกเทศทองคำ กำไลทองใส่เท้า และห้ามอย่าให้ช่างทองทั้งปวงรับจ้างทำจี้เสมาภควจั่นประดับเพชรถมยาราชาวดี และกระจับปิ้ง พริกเทศทองคำ กำไลเท้าและแหวนถมยาราชาวดีประดับพลอย ห้ามมิให้ซื้อขายเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าข้าราชการผู้น้อยแลอาณาประชาราษฎร์ ช่างทองกระทำผิดถ้อยอย่างธรรมเนียม แต่ก่อนจะเป็นโทษอย่างหนัก" คำว่า "ภควจั่น" เป็นคำสองคำ ภคว คำหนึ่ง ซึ่งเป็นชื่อย่อของ ภควดี หมายถึงพระลักษมีคำว่าจั่น คำหนึ่ง หมายถึง เบี้ยจั่น ภควจั่น จึงหมายถึง เบี้ยจั่นอันเป็นเครื่องหมายของพระลักษมีกฎหมายข้อนี้ แสดงถึงการแบ่งชั้นวรรณะของไทยในสมัยโบราณ ไม่ยอมให้สามัญชนห้อยเสมาภควจั่นประดับเพชรลงยาราชาวดี เพื่อสงวนไว้สำหรับลูกเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น อนุญาตให้ห้อยได้เพียงจี้ภควจั่นที่เลี่ยมทองธรรมดาเท่านั้น
พุทธคุณเบี้ยแก้
เบี้ยแก้ นั้นเป็นเบี้ยที่ทำมาจากเบี้ยพลู และเบี้ยจั่น สร้างโดยพระเกจิอาจารย์ซึ่งนำปรอทที่ถือกันว่าเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ มาบรรจุไว้ในตัวหอยเบี้ย แล้วอุดด้วยชันโรงใต้ดิน แล้วท่านจะลงอักขระเลขยันต์ จากนั้นก็นำมาปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง พุทธคุณเบี้ยแก้ ป้องกันภูตผีปีศาจ ป้องกันไข้ป่า อยู่ยงเขี้ยวงาทุกอย่างป้องกันคุณไสย ป้องกันยาพิษ ยาสั่ง รวมถึงอวิชชาอาถรรพ์อื่นๆ
เบี้ยแก้ นั้นเป็นเบี้ยที่ทำมาจากเบี้ยพลู และเบี้ยจั่น สร้างโดยพระเกจิอาจารย์ซึ่งนำปรอทที่ถือกันว่าเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ มาบรรจุไว้ในตัวหอยเบี้ย แล้วอุดด้วยชันโรงใต้ดิน แล้วท่านจะลงอักขระเลขยันต์ จากนั้นก็นำมาปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง พุทธคุณเบี้ยแก้ ป้องกันภูตผีปีศาจ ป้องกันไข้ป่า อยู่ยงเขี้ยวงาทุกอย่างป้องกันคุณไสย ป้องกันยาพิษ ยาสั่ง รวมถึงอวิชชาอาถรรพ์อื่นๆ
เบี้ยแก้สายต่างๆ
เบี้ยแก้ นั้นมีการสร้างสืบต่อกันมาช้านานมาก เท่าที่สืบค้นได้ก็มีเบี้ยแก้ สายวัดกลางบางแก้วตั้งแต่หลวงปู่ทอง ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่บุญ ที่รู้จักกันมากและพอจะดูออกได้ว่าใช่หรือไม่ก็คือหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ท่านอาจารย์ใบ วัดกลางบางแก้ว และในปัจจุบันก็คือหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ซึ่งได้รับการถ่ายทอดกรรมวิธีการสร้างสืบต่อกันมาสำหรับ เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้วนั้น ปัจจุบันหายากมากครับ และมีราคาสูงมากด้วยเช่นกัน
เบี้ยแก้ นั้นมีการสร้างสืบต่อกันมาช้านานมาก เท่าที่สืบค้นได้ก็มีเบี้ยแก้ สายวัดกลางบางแก้วตั้งแต่หลวงปู่ทอง ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่บุญ ที่รู้จักกันมากและพอจะดูออกได้ว่าใช่หรือไม่ก็คือหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ท่านอาจารย์ใบ วัดกลางบางแก้ว และในปัจจุบันก็คือหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ซึ่งได้รับการถ่ายทอดกรรมวิธีการสร้างสืบต่อกันมาสำหรับ เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้วนั้น ปัจจุบันหายากมากครับ และมีราคาสูงมากด้วยเช่นกัน
เบี้ยแก้สายหลวงปู่รอด วัดนายโรง หลวงปู่รอดท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ ลูกศิษย์ของหลวงปู่รอดก็คือหลวงพ่อม่วง วัดคฤหบดี เบี้ยแก้ของหลวงปู่รอดปัจจุบันหายากมาก ราคาสูงมากเช่นกันครับ
เบี้ยแก้สายอ่างทอง หลวงพ่อพัก วัดโบสถ์เบี้ยแก้หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ และเบี้ยแก้หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ ปัจจุบันเบี้ยของหลวงพ่อพัก วัดโบสถ์ก็มีสนนราคาสูงเช่นกัน
การสร้างหมากทุย ตำนานการสร้าง หมากทุย
การสร้างหมากทุย ตำนานการสร้าง หมากทุย
หมากทุย ดีทางแคล้วคลาด คงกระพัน และมหาอุด
ในตำรับเครื่องรางของขลังไทยนั้น ท่านได้บอกไว้ประการหนึ่งว่า อันต้นไม้ใดก็ดีที่อยู่ดี ๆ ก็มีอันเป็นยืนตายแห้งทั้ง ๆ ที่ผืนดินก็อุดมสมบูรณ์ดีไม่มีวี่แววแห่งโรคต้นไม้นั่นแหละเรียกกันว่า “ต้นไม้ตายพราย” จะเป็นหมากตายพราย มะยมตายพราย หรือไม้ไผ่ไม้รวกตายพรายก็เหมือนกัน นำเอาชิ้นส่วนของมันมาทำเครื่องรางของขลังได้อย่าทิ้งให้เปล่าประโยชน์ไป ที่ไม่เข้าหลักก็มีเพียงกล้วยตานี้ตายพรายเท่านั้น ที่เขาไม่ค่อยจะนิยมเพราะถือว่าเป็นอวมงคล เหมือนคนออกลูกตายทั้งกลมนั่นแหละ
ในตำรับเครื่องรางของขลังไทยนั้น ท่านได้บอกไว้ประการหนึ่งว่า อันต้นไม้ใดก็ดีที่อยู่ดี ๆ ก็มีอันเป็นยืนตายแห้งทั้ง ๆ ที่ผืนดินก็อุดมสมบูรณ์ดีไม่มีวี่แววแห่งโรคต้นไม้นั่นแหละเรียกกันว่า “ต้นไม้ตายพราย” จะเป็นหมากตายพราย มะยมตายพราย หรือไม้ไผ่ไม้รวกตายพรายก็เหมือนกัน นำเอาชิ้นส่วนของมันมาทำเครื่องรางของขลังได้อย่าทิ้งให้เปล่าประโยชน์ไป ที่ไม่เข้าหลักก็มีเพียงกล้วยตานี้ตายพรายเท่านั้น ที่เขาไม่ค่อยจะนิยมเพราะถือว่าเป็นอวมงคล เหมือนคนออกลูกตายทั้งกลมนั่นแหละ
พูดถึงต้นหมากนั้นตามปกติตายยากจะมีอายุยืน ที่จะตายได้ก็มีเพียงน้ำท่วมขังนาน ๆ หรือไม่ก็ถูกลมพัดหักกลางต้นอันนี้ตายแน่นอน แต่ถ้าหมากนั้นอยู่ดี ๆ ก็ตายแห้งกรอบเหลืองทั้ง ๆ ที่จั่นติดลูกดกพราว หมากนั้นเป็น “หมากตายพราย” ให้นำมาทำเครื่องรางที่เรียกว่า “หมากทุย” และหมากทุยนั้นก็คือเครื่องรางที่เกิดจากการเอาลูกหมากตายพรายขนาดย่อมมาประกอบพิธีซึ่งยุ่งยากพอสมควร จึงทำได้ยากและต้องอาศัยฝีมือของท่านพระอาจารย์ทำเป็นหลัก
เท่าที่ได้สำรวจในแวดวงนักนิยมสะสมเครื่องรางของขลังนั้น จะมีเพียงสองสำนักที่ได้รับความนิยมสูงและแพร่หลายได้แก่ของสำนักวัดหนัง บางขุนเทียน โดยท่านเจ้าคุณพระภาวนาโกศลเถระ (เอี่ยม) อดีตเจ้าอาวาสและอีกสำหนักหนึ่งคือ หลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน แต่สำนักหลังนี้จะมีอายุการสร้างหลังกว่าของวัดหนัง บางขุนเทียน
ท่านเจ้าคุณเฒ่านั้นท่านเป็นพระเถระที่ประกอบไปด้วยอำนาจจิตอันสูงส่ง เดิมทีท่านเป็นพระอธิการธรรมดา ๆ ทว่าท่านมีอภินิหารในพระเครื่องรางมากมาย จนกระทั่งเล่าลือไปถึงพระบรมมหาราชวัง ขุนน้ำขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่าง ๆ ได้เดินทางมาขอพระเครื่องรางของท่านไปใช้เป็นอันมาก แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้ทราบเสด็จเป็นการส่งนพระองค์ไปนมัสการท่านเจ้าคุณเฒ่าที่วัดหนัง
ดังนั้นเมื่อท่าเจ้าคุณเฒ่า วัดหนัง ได้มีโอกาสรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวงอีกครั้งพระคุณท่านก็ได้รับการถวายจีวรแพร และสิ่งอื่น ๆ ด้วยที่ทรงซื้อมาจากฝรั่งเศสพร้อมกับพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระราชาคณะที่เจ้าคุณพระภาวนาโกศลเถระ ตั้งแต่นั้นมา
เท่าที่ได้สำรวจในแวดวงนักนิยมสะสมเครื่องรางของขลังนั้น จะมีเพียงสองสำนักที่ได้รับความนิยมสูงและแพร่หลายได้แก่ของสำนักวัดหนัง บางขุนเทียน โดยท่านเจ้าคุณพระภาวนาโกศลเถระ (เอี่ยม) อดีตเจ้าอาวาสและอีกสำหนักหนึ่งคือ หลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน แต่สำนักหลังนี้จะมีอายุการสร้างหลังกว่าของวัดหนัง บางขุนเทียน
ท่านเจ้าคุณเฒ่านั้นท่านเป็นพระเถระที่ประกอบไปด้วยอำนาจจิตอันสูงส่ง เดิมทีท่านเป็นพระอธิการธรรมดา ๆ ทว่าท่านมีอภินิหารในพระเครื่องรางมากมาย จนกระทั่งเล่าลือไปถึงพระบรมมหาราชวัง ขุนน้ำขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่าง ๆ ได้เดินทางมาขอพระเครื่องรางของท่านไปใช้เป็นอันมาก แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้ทราบเสด็จเป็นการส่งนพระองค์ไปนมัสการท่านเจ้าคุณเฒ่าที่วัดหนัง
ดังนั้นเมื่อท่าเจ้าคุณเฒ่า วัดหนัง ได้มีโอกาสรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวงอีกครั้งพระคุณท่านก็ได้รับการถวายจีวรแพร และสิ่งอื่น ๆ ด้วยที่ทรงซื้อมาจากฝรั่งเศสพร้อมกับพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระราชาคณะที่เจ้าคุณพระภาวนาโกศลเถระ ตั้งแต่นั้นมา
การสร้างหมากทุยนั้น ประการแรกท่านจะให้ศิษย์ไปขึ้นต้นหมาก เพื่อเอาลูกหมากที่ตายพรายลงมา และลูกหมากนั้นจะต้องเป็นลูกหมากอ่อนที่มีขนาดเล็กพอเหมาะ ส่วนการจะขึ้นไปนั้นท่านจะสอนคาถาภาวนาให้ เมื่อเวลาขึ้นต้นหมากก็ต้องภาวนาทุกช่วงเวลาไต่ ครั้นพอถึงแล้วก็ไม่ให้เอามือเด็ดแต่ให้ใช้ปากคาบแล้วดึงจนลูกหมากขาดแล้วเวลาคาบไว้ในปากพร้อมกับภาวนาคาถากำกับทุกช่วงไปการขึ้นครั้งหนึ่งจะได้ไม่กี่ลูกเท่านั้น
เมื่อได้ลูกหมากตายพรายมาแล้วก็เปิดจุกด้านบนคว้าเอาเนื้อหมากด้านในออกให้หมด จากนั้นจึงเอาเม็ดพระธาตุ (หรือถ้าไม่มีก็เอากระดาษสาลงพระนามพระพุทธเจ้าด้วยอักขระแทน) เมื่อทำการปลุกเสกแล้วก็บรรจุไปด้านในแทนให้เต็ม จากนั้นก็เอาชันโรงใต้ดินมาอุดปิดทับด้านบนให้แน่น เพื่อป้องกันความชื้นและพวกตัวแมลง
การปลุกเสกกำกับด้วยพลังจิต จนเกิดอุดมนิมิต เป็นว่าลูกหมากนั้นลุกขึ้นตั้งได้เอง จึงถอนจิตแล้วนำไปถักเชือกหุ้มอีกชั้นหนึ่งแล้วลงรักเคลือบผิว ทำห่วงด้านบนเพื่อใช้สำหรับคล้องคอ เพราะภายในได้บรรจุพระนามพระพุทธเจ้าสำคัญ ๆ ไว้ จึงไม่สมควรจะนำมาคาดเอว หรือห้อยพวงกุญแจ เป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งทีเดียว
อานุภาพการใช้ได้กล่าวไว้ว่าเมื่อนำติดตัวจะช่วยป้องกันทางด้านมหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด และยังป้องกันภูตผีปีศาจ เมื่อมีสิ่งนี้พยายามหมั่นปลูกเสกกำกับด้วยคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ว่า “นะโมพุทธายะ” อยู่เสมอ ๆ
หลักการดูหมากทุย ประการแรกให้ดูลักษณะภายนอกก่อนว่าจะต้องมีลักษณะป้อมตัวโตเรียวมาทางก้น คล้ายกับลูกหมาก แม้จะถักหุ้มก็ยังคงมีลักษณะเค้าให้เห็นถ้ากลมอาจจะเป็นลูกอมผงวิเศษที่ถักหุ้ม ซึ่งมีราคาถูกกว่าหมากทุย ประการที่สองให้ดูรักที่ลงเอาไว้จะต้องแห้งสนิทห่วงด้านบนมีทั้งสองห่วง ทองแดงถักเชื่อมกับเชือกและที่เป็นห่วงเชือกถักในตัว ขนาดไม่เป็นมาตรฐานแต่ไม่ใหญ่มากเท่ากับลูกหมากดิบธรรมดาทั่วไป ส่วนลายถักเป็นเครื่องสังเกตอีกประการหนึ่ง สำหรับในรายที่ใช้จนเชือกถักขาดหมด จะเห็นเนื้อในเป็นผิวหมากแห้งเหี่ยวไม่สด ชันโรงที่ปิดจะแห้งไม่เปียกเยิ้ม ส่วนของเทียมนั้นจะสดและใหม่กว่าเห็นได้ชัด รูปที่นำมาประกอบเรื่องเป็นภาพของแท้จากวัดหนังทั้งสิ้น
เมื่อได้ลูกหมากตายพรายมาแล้วก็เปิดจุกด้านบนคว้าเอาเนื้อหมากด้านในออกให้หมด จากนั้นจึงเอาเม็ดพระธาตุ (หรือถ้าไม่มีก็เอากระดาษสาลงพระนามพระพุทธเจ้าด้วยอักขระแทน) เมื่อทำการปลุกเสกแล้วก็บรรจุไปด้านในแทนให้เต็ม จากนั้นก็เอาชันโรงใต้ดินมาอุดปิดทับด้านบนให้แน่น เพื่อป้องกันความชื้นและพวกตัวแมลง
การปลุกเสกกำกับด้วยพลังจิต จนเกิดอุดมนิมิต เป็นว่าลูกหมากนั้นลุกขึ้นตั้งได้เอง จึงถอนจิตแล้วนำไปถักเชือกหุ้มอีกชั้นหนึ่งแล้วลงรักเคลือบผิว ทำห่วงด้านบนเพื่อใช้สำหรับคล้องคอ เพราะภายในได้บรรจุพระนามพระพุทธเจ้าสำคัญ ๆ ไว้ จึงไม่สมควรจะนำมาคาดเอว หรือห้อยพวงกุญแจ เป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งทีเดียว
อานุภาพการใช้ได้กล่าวไว้ว่าเมื่อนำติดตัวจะช่วยป้องกันทางด้านมหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด และยังป้องกันภูตผีปีศาจ เมื่อมีสิ่งนี้พยายามหมั่นปลูกเสกกำกับด้วยคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ว่า “นะโมพุทธายะ” อยู่เสมอ ๆ
หลักการดูหมากทุย ประการแรกให้ดูลักษณะภายนอกก่อนว่าจะต้องมีลักษณะป้อมตัวโตเรียวมาทางก้น คล้ายกับลูกหมาก แม้จะถักหุ้มก็ยังคงมีลักษณะเค้าให้เห็นถ้ากลมอาจจะเป็นลูกอมผงวิเศษที่ถักหุ้ม ซึ่งมีราคาถูกกว่าหมากทุย ประการที่สองให้ดูรักที่ลงเอาไว้จะต้องแห้งสนิทห่วงด้านบนมีทั้งสองห่วง ทองแดงถักเชื่อมกับเชือกและที่เป็นห่วงเชือกถักในตัว ขนาดไม่เป็นมาตรฐานแต่ไม่ใหญ่มากเท่ากับลูกหมากดิบธรรมดาทั่วไป ส่วนลายถักเป็นเครื่องสังเกตอีกประการหนึ่ง สำหรับในรายที่ใช้จนเชือกถักขาดหมด จะเห็นเนื้อในเป็นผิวหมากแห้งเหี่ยวไม่สด ชันโรงที่ปิดจะแห้งไม่เปียกเยิ้ม ส่วนของเทียมนั้นจะสดและใหม่กว่าเห็นได้ชัด รูปที่นำมาประกอบเรื่องเป็นภาพของแท้จากวัดหนังทั้งสิ้น
วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ม้าเสพนางคือ ?? ประวัติเครื่องรางม้าเสพนาง
เชื่อกันว่าเป็นเครื่องรางที่มาจากทางพม่า เงี้ยว มีมาในล้านนาเมื่อไหร่ไม่มีไครทราบ แต่โบราณล้านนานิยมใช้ยันต์นี้กันมาก เนื่องจากให้ผลทางด้านเสน่ห์รุนแรง ผู้ชายจะไปเที่ยวหาสาวหากได้ติดตัวไปด้วยต้องได้สาว ม้าเสพนางเป็นหนึ่งใน 4 สุดยอดเสน่ห์ โดยมี
- ม้าเสพนาง
- วัวเสพนาง
- หนูกินน้ำนมแมว
- วัวกินน้ำนมเสือ
ประวัติม้าเสพนาง
ตามตำนานเล่าว่า มีครอบครัวหนึ่งมีลูกสาวเลี้ยงม้าตัวผู้อยู่หนึ่งตัว มีลักษณะงามยิ่งนัก หญิงสาวดูแลม้าทุกวัน อาชาหนุ่ม จึงเกิดความรักใคร่ต่อม้าหนุ่ม ต่อมาได้เสพกามกันพ่อทราบเรื่องนี้เข้าจึงโกรธและอับอายมากถึงกับฆ่าม้าตัวนั้นตาย หญิงสาวกลั้นใจตายตามม้าตัวนั้นไป ดังนั้นม้าเสพนางเป็นวิชาที่ใช้ในเรื่องตัณหากามารมณ์อย่างรุนแรง ผู้ที่จะใช้ควรใช้อย่างมีศีลธรรม
ตามตำนานเล่าว่า มีครอบครัวหนึ่งมีลูกสาวเลี้ยงม้าตัวผู้อยู่หนึ่งตัว มีลักษณะงามยิ่งนัก หญิงสาวดูแลม้าทุกวัน อาชาหนุ่ม จึงเกิดความรักใคร่ต่อม้าหนุ่ม ต่อมาได้เสพกามกันพ่อทราบเรื่องนี้เข้าจึงโกรธและอับอายมากถึงกับฆ่าม้าตัวนั้นตาย หญิงสาวกลั้นใจตายตามม้าตัวนั้นไป ดังนั้นม้าเสพนางเป็นวิชาที่ใช้ในเรื่องตัณหากามารมณ์อย่างรุนแรง ผู้ที่จะใช้ควรใช้อย่างมีศีลธรรม
ดังนั้นม้าเสพนางจึงเป็นเครื่องรางที่ให้ผลทางด้าน ราคะ ตัณหากามารมณ์รุนแรง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสน่ห์แบบถึงอกถึงใจ ใช้ในงานกลางคืน งานติดต่อเจรจา งานค้าขายธุรกิจล้วนแต่ประสบความสำเร็จดีเยี่ยม
พุทธคุณม้าเสพนาง
ใครมีไว้บูชา หญิงเห็นหญิงรัก ชายเห็นชายรัก มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น เกิดเมตตารักใคร่ จะโดเด่นในเรื่องเมตตามหาเสน่ห์ สมหวังในเรื่องความรัก ชีวิตครอบครัวมีความสุข ความเจริญ เดินทางไปแห่งหนตำบลใด จะมีคนให้ความอนุเคราะห์อุ้มชู ไม่อดอยากยากไร้ มีคนอยากพูดคุย อยากรู้จักด้วย มีเสน่ห์ดีนักแลฯ
ใครมีไว้บูชา หญิงเห็นหญิงรัก ชายเห็นชายรัก มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น เกิดเมตตารักใคร่ จะโดเด่นในเรื่องเมตตามหาเสน่ห์ สมหวังในเรื่องความรัก ชีวิตครอบครัวมีความสุข ความเจริญ เดินทางไปแห่งหนตำบลใด จะมีคนให้ความอนุเคราะห์อุ้มชู ไม่อดอยากยากไร้ มีคนอยากพูดคุย อยากรู้จักด้วย มีเสน่ห์ดีนักแลฯ
เครื่องรางอิ๋น คืออะไร ? พุทธคุณเครื่องรางอิ๋นด้านไหนบ้าง
เครื่องรางอิ๋น คือเครื่องรางสายล้านนาโดยเฉพาะเครื่องรางสายเสน่ห์หรือ เครื่องรางแห่งความรัก
เมื่อกล่าวถึงเครื่องรางสายล้านนาโดยเฉพาะเรื่องเสน่ห์แล้ว ก็ต้องยกหน้าที่ให้ อิ๋น เพราะเป็นที่นิยมเสาะเเสวงหามาครอบครองกันมาก ด้วยคุณวิเศษของอิ๋นนั้นเกินจะบรรยายได้ แต่ที่แน่ ๆ เรื่องเสน่ห์เมตตามหานิยมนั้นเยี่ยมยอด ด้วยลักษณะทางรูปแบบและเอกลักษณ์ของอิ๋นจึงเป็นที่สนใจพิเศษโดยเฉพาะชายฉกรรจ์ล้านนาทั้งหลายที่ชอบเสาะแสวงหาอิ๋นมาใว้กับตัว
อิ๋นมีรูปแบบลักษณะเป็นรูปหญิงชายยืน หรือ นั่ง กอดกันโดยหันหน้าชนกัน ตั้งแต่โบราณมีตำนานของอิ๋นมากมายหลายแห่งต่างกันไปตามภูมิภาค แต่เดิมนั้นไม่ทราบได้ว่าอิ๋นนั้นมีต้นกำเนิดมาจากไหน บางท่านว่ามาจากธิเบตและรับความเชื่อเรื่องศักติว่าหญิงชายเสพสมกันจะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต การมีชายหญิงร่วมกัน เป็นตัวแทนของการเกิด การงอกงาม และ ความสมดุล (หยิน หยาง) และเชื่อสืบต่อกันเข้ามาทางพม่า บางท่านว่าเป็นการสร้างเพื่อระลึกถึงหญิงชายคู่แรกของโลกมนุษย์ ตากะสัง ยายสังกะสี
บางท่านว่าเป็นเทพบนสวรรค์ที่รักกันปานจะกลืนกินไม่ยอมห่างกัน แม้จะถูกลงโทษจากพระนารายณ์ก็ยังไม่ยอมแยกจากกัน จึงเป็นที่มาของความรักที่ “ไม่มีวันที่เราจะพรากจากกัน” นอกจากนี้ยังมีตำนานของอิ๋นมากมาย คนล้านนาเชื่อว่าการที่ได้มีอิ๋นไว้บูชาจะทำให้มีคนเมตตารักไคร่ มีไว้กับบ้านเรือน จะทำให้คนในบ้านหลังนั้นครอบครัวนั้นรักไคร่กันหากมีไว้บูชากับตัวเราก็จะทำให้มีเสน่ห์ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยโชคลาภ ข้าวของเงินทองไหลมาเทมา อิ๋นจึงเป็นที่นิยมตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
พุทธคุณวิเศษของเครื่องรางอิ๋น
คุณวิเศษของอิ๋นมีมากมาย อาทิ ใช้ทางเสน่ห์เมตตามหานิยม ได้พันช่อง (สารพัดทางเสน่ห์) ใช้บูชาเพื่อให้คนในบ้านรักกัน ใช้ทางโชคลาภ เงินทอง ค้าขาย
คุณวิเศษของอิ๋นมีมากมาย อาทิ ใช้ทางเสน่ห์เมตตามหานิยม ได้พันช่อง (สารพัดทางเสน่ห์) ใช้บูชาเพื่อให้คนในบ้านรักกัน ใช้ทางโชคลาภ เงินทอง ค้าขาย
ประวัติพระปิดตามหาอุด ที่มาพระปิดตา
วันนี้เรามาคุยกันถึงพระปิดตามหาอุดหรือพระปิดทวารทั้ง 9 กันดูบ้าง ความเป็นจริงพระปิดตา ที่มีมือคู่เดียวยกขึ้นมาปิดที่ใบหน้า และพระปิดทวารทั้ง 9 นั้นก็หมายถึงพระภควัมปติหรือพระภควัมบดี เช่นเดียวกัน และพระมหาสังกัจจายน์ ก็คือพระอรหันต์องค์เดียวกันนั่นเองครับ ตามประวัติว่ากันว่าพระมหาสังกัจจายน์นั้นมีรูปร่างงดงาม และได้รับคำชมจากพระบรมศาสดาว่า พระมหาสังกัจจายน์นั้นเป็นเอตทัคคะ และฉลาดล้ำเลิศในการอธิบายความแห่งคำที่ย่อได้อย่างพิสดาร ด้วยความฉลาดล้ำเลิศของพระมหาสังกัจจายน์นั่นเอง
พระมหาสังกัจจายน์ท่านเป็นผู้ที่มีผิวพรรณวรรณะงดงาม ตามพระบาลีว่า สุวณฺโณจวณฺณํ คือมีผิวเหลืองดังทองคำ เป็นที่เสน่ห์นิยม มิว่าท่านจะไปในสถานที่แห่งใด เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างก็พากันสรรเสริญว่า ท่านคือ พระบรมศาสดาเสด็จมาแล้ว เพราะเหตุที่ท่านมีรูปโฉมละม้ายเหมือนพระศาสดานั่นเอง ท่านจึงได้รับสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่า พระภควัมปติ ซึ่งมีความหมายทำนองว่า ผู้มีความงามละม้ายเหมือน พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง
เมื่อเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ ท่านจึงมาคิดว่า การที่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายพากันสรรเสริญท่านดังนี้ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง สุดท้ายท่านจึงกระทำด้วยอิทธิฤทธิ์ เนรมิตกายให้เตี้ยลงจึงดูท้องพลุ้ย ไม่เป็นที่น่าดู เทพยดาและมนุษย์จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอีกต่อไป
ส่วนที่มีการทำรูปเคารพเป็นรูปปิดทวารทั้ง 9 นั้น ก็คือมือคู่หนึ่งปิดหน้า คือปิดตา 2 ข้างปิดจมูก 2 ปิดปาก 1 และมีมืออีกคู่หนึ่งมาปิดที่หู 2 ข้าง ส่วนอีกมือคู่หนึ่งนั้นปิดที่ทวารทั้ง 2 รวมเป็นปิดทวารทั้งเก้า คือเป็นอุปเท่ห์หมายถึง ตอนที่พระภควัมปติท่านกำลังเข้านิโรธสมบัติ ทวารทั้งเก้าก็จะปิดสนิท ไม่ยินดียินร้ายกับกิเลสทั้งหลาย หมายถึงดับสนิท อาสวะกิเลสต่างๆ ไม่อาจที่จะเข้ามาแผ้วพานได้เลย
จากมูลเหตุนี้เอง คณาจารย์ต่างๆ ท่านจึงสร้างรูปเคารพ เป็นรูปพระปิดตา (คือมีมือคู่เดียวมาปิดที่หน้า) บ้างเป็นรูปพระปิดทวารทั้งเก้าบ้าง และโดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นพระปิดตาก็จะปลุกเสกให้เด่นไปทางเมตตามหานิยม โชคลาภโภคทรัพย์ แต่ถ้าเป็นพระปิดทวารทั้ง 9 ก็จะปลุกเสกให้เด่นไปทางอยู่ยงคงกระพันชาตรีและแคล้วคลาด พระปิดทวารทั้งเก้านั้นในสมัยโบราณ ถ้าบ้านไหนมีคนจะคลอดลูก ถึงกับต้องนำพระปิดทวารทั้งเก้าออกไปนอกบ้านเสียก่อน เชื่อกันว่าจะไม่สามารถคลอดลูกได้ก็มี ซึ่งเป็นความเชื่อกันในสมัยโบราณ
พระปิดทวารทั้งเก้านั้นมีคติการสร้างมาตั้งแต่ครั้งไหน ยังไม่มีการสืบค้นไปถึงได้ มีพระปิดทวารทั้งเก้าเก่าๆ ที่ยังไม่มีใครทราบว่าเป็นของพระอาจารย์ท่านใดสร้าง แต่มีเนื้อหาความเก่าและได้รับตกทอดกันมานานแล้ว ก็มักจะเรียกกันว่าพระปิดทวารฯ เขมร ส่วนมากที่พบมักจะเป็นเนื้อโลหะ ประเภทสัมฤทธิ์ หรือโลหะผสม ออกจะเป็นทองเหลืองบ้าง เนื้อกลับดำบ้าง จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถสืบค้นถึงที่มาได้ แม้แต่ในประเทศกัมพูชาเองก็ยังไม่แน่ว่าจะมีหรือสืบค้นเรื่องราวได้หรือเปล่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าศึกษาค้นคว้าดู พระปิดทวารฯ เขมรตามที่เขาเรียกกันนั้นของแท้ๆ จะมีเนื้อหาความเก่าแก่อย่างชัดเจน ทั้งศิลปะก็เป็นแบบเก่า เท่าที่พบจะเป็นพระลักษณะปั้นหุ่นเทียนเป็นองค์ๆ จะไม่มีองค์ใดซ้ำกันเลย
พระปิดตาเนื้อโลหะที่เก่าที่สุดและพอที่จะมีหลักฐานสืบค้นได้ก็คือพระปิดตาของกรุวัดท้ายย่าน ชัยนาท อายุราวสมัยกรุงศรีอยุธยา และพระปิดตาเนื้อดิน คือพระปิดตาพิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายทางใต้ก็มีพระปิดตานครศรีธรรมราชเป็นต้น ส่วนพระปิดทวารฯ เนื้อโลหะเท่าที่สืบค้นได้ว่าเป็นของพระอาจารย์ท่านใด และเป็นที่นิยมกันมากก็คือพระปิดทวารของหลวงพ่อทับวัดทอง พระปิดทวารของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง พระปิดทวารของหลวงปู่จัน วัดโมลี พระปิดทวาร หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ พระปิดทวาร วัดพะเนียงแตก พระปิดทวาร หลวงพ่อปล้อง วัดหลุมดิน พระปิดตาคงกระพัน หลวงพ่อแดง วัดห้วยฉลองราษฏร์ เป็นต้น
นกสาริกา นกแห่งการเจรจาต่อรอง การงาน การค้า หรือเรื่องความรัก
นกสาริกาเป็นเครื่องรางของขลังพลังอาถรรพ์ที่มีพลังอำนาจมาจากเบื้องบนสวรรค์ คนสมัยโบราณนิยมกันมาก มีมานานแล้วหลายร้อยปี ใครมีไว้บูชาจะเป็นที่รักใคร่ พูดจาสิ่งใดก็น่าฟังไม่ขัดหู บางองค์มีความแรงขลังมากถึงขั้นพูดจาแล้วคนเชื่อถือในคำพูดไปจนวันสุดท้ายของชีวิต นกสาริกาใช้ไปทางเสน่ห์ พูดคุย เพื่อเข้าสังคม นกสาริกา อาจารย์ที่มีอาคมแก่กล้ามักจะทำไว้ให้ลูกศิษย์ ลูกหาไว้บูชากัน มีทั้งขนาดพกพา หรือขนาดตั้งว่างโต๊ะ พระอาจารย์บางท่านจะทำเป็นสีผึ่งสาริกา ,ตะกรุดสาริกา, หรือยันต์สาริกาลิ้นทอง ทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีพุทธคุณเท่ากัน ความแรงขลังและรูปแบบนั้นก็อยู่ที่พระอาจารย์ผู้สร้างว่าจะทำมาในรูปแบบใด
นกสาริกาเป็นนกที่อยู่ในป่าลึก มีปากหนาสีแดง มีสีสันสวยงามและมีเสียงที่ไพเราะน่าฟัง นกสาริกาเป็นนกที่ทางไสยศาสตร์ ให้เป็นนกแห่งการเจรจาต่อรอง การงาน การค้า หรือเรื่องความรัก คุยกับชายหรือหญิง ให้เขาพอใจในตัวผู้บูชานกสาริกา มหาเสน่ห์
วิธีใช้ วิธีบูชานกสาริกา ของขลังเสน่ห์ไปไหนมาไหนให้พกพาติดตัว ให้บูชาด้วย น้ำเปล่า ผลไม้ ทุกวันพระ
ข้อห้ามและข้อปฏิบัติเมื่อมีสาริกาลิ้นทองไว้บูชาแล้ว
- ห้ามบ้วนน้ำลายลงพื้น
- ห้ามพูดคำหยาบคาย ด่าพ่อ แม่ คนอื่นเด็ดขาด
- ห้ามวางไว้ปลายเท้า
วัตถุมงคลนกสาริกา เครื่องรางนกสาริกา
วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ที่มาของพระเครื่องขุนแผน พุทธพระคุณขุนแผน
พระขุนแผนนั้นเป็นพระที่สร้างขึ้นสมัยอยุธยา แต่บางตำนานนั้นมิได้กล่าวไว้ว่าใครเป็นผู้ที่สร้างอย่างชัดเจน จึงค่อนข้างที่จะเทน้ำหนักไปที่ขุนแผนและพระอาจารย์คงเป็นผู้สร้างและในปัจจุบันก็เป็นพระที่ค่อนข้างจะหาได้ยากมาก ด้วยราคาที่เช่าหากันในวงการก็ค่อนข้างสูง แต่ก็ยังพอมีหลงเหลือให้ได้ชมกันตามตลาดพระเครื่องทั่วๆ ไป อยู่ที่วาสนาของใครด้วยครับที่จะมีบุญได้มาบูชา
พระขุนแผนนั้นเป็นพระเนื้อดินที่มีมวลสารผสมด้วยผงว่าน ๑๐๘ ผงเกษณ ๑๐๘ ผงนะทรหด ผงนะมหานิยม แร่ทรายเงิน แร่ทรายทอง และดินศักดิ์สิทธิ์ มีวรรณะคล้ายอิฐเก่าเหมือนสีดอกพิกุลแห้ง เมื่อถูกสัมผัสกับมือบ่อยๆ สีจะเปลี่ยนเป็นมันปู รูปองค์พระเป็นแบบมารวิชัยและสมาธิประทับนั่งอยู่บนบันลังค์ในซุ้มเรือนแก้ว ลักษณะพิมพ์ทรงเป็นรูปห้าเหลี่ยม กล่าวกันว่า พระชุดนี้ ขุนแผนและพระอาจารย์คง ซึ่งเชื่อกันว่ามีตัวตนอยู่จริงเป็นผู้ร่วมกันสร้างขึ้นมา เพื่อแจกจ่ายให้กับทหารที่ต้องไปทัพ และมีการจัดสร้างไว้มาก ค้นพบครั้งแรกที่กรุวัดบ้านกร่าง ตำบลบ้านไร่ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้แล้วยังมีพบที่กรุวัดขุนไกร กรุวัดพลยชุมพล และกรุวัดป่าเลไลย์ด้วย
คำถามยอดฮิต
ห้อย "พระขุนแผน" แล้วจะทำให้มีเสน่ห์ แต่ยากจน จริงหรือ ?ขอตอบว่าไม่จริง นั่นเป็นความเชื่อเก่าๆ ที่ว่า ถ้าเราบูชาหรือห้อยพระขุนแผนแล้ว จะมีเสน่ห์เป็นที่ดึงดูดใจผู้อื่น และคนรอบข้าง เจรจากับใครเป็นที่รักใคร่น่าเอ็นดูของคนหมู่มาก แต่ห้อยพระขุนแผนแล้วจะทำให้ฐานะยากจน เงินทองหดหาย เหมือนกับจะบอกว่า มีเสน่ห์แต่ยากจนเงินทอง
ห้อย "พระขุนแผน" แล้วจะทำให้มีเสน่ห์ แต่ยากจน จริงหรือ ?ขอตอบว่าไม่จริง นั่นเป็นความเชื่อเก่าๆ ที่ว่า ถ้าเราบูชาหรือห้อยพระขุนแผนแล้ว จะมีเสน่ห์เป็นที่ดึงดูดใจผู้อื่น และคนรอบข้าง เจรจากับใครเป็นที่รักใคร่น่าเอ็นดูของคนหมู่มาก แต่ห้อยพระขุนแผนแล้วจะทำให้ฐานะยากจน เงินทองหดหาย เหมือนกับจะบอกว่า มีเสน่ห์แต่ยากจนเงินทอง
ตรงกันข้าม มีหลักฐานปรากฏให้เห็นกันอย่างมากมาย ทั้งมหาเศรษฐีชั้นนำของเมืองไทย พ่อค้า คหบดีตระกูลดัง นักการเมือง ดารานักแสดง นักร้องชื่อดังในเมืองไทย แม้กระทั่งนักแสดงชั้นนำของฮอลลีวู้ด ก็ยังนิยมห้อยพระขุนแผน ซึ่งเท่าที่ดูก็ไม่เห็นพวกเขาเหล่านั้นจะจนลงแต่อย่างใด มีแต่จะเรียกเงิน เรียกทองเข้ามาเสียมากกว่า
พุทธคุณของพระขุนแผนทุกพิมพ์จากเกจิอาจารย์ชื่อดังจากทุกกรุนั้น มีพลังเมตตามหานิยมสูงส่งอยู่ทั้งสิ้น ทั้งร่ำรวยเสน่ห์ และร่ำรวยทรัพย์สิน เพราะพลังพุทธคุณของพระขุนแผนจะเรียกทรัพย์ เรียกเงิน เรียกทอง หากผู้บูชานั้นปฏิบัติให้ถูกทาง ถูกวิธี หมั่นทำความดีสะสมเอาไว้มากๆ พระก็จะมีพลังเข้มขลังอยู่เสมอ
- ขุนแผนสาวสามหมู่บ้านกินน้ำบ่อเดียวกัน อาถรรพณ์พลังมหาเสน่ห์ ครบสูตร
- ขุนแผนเจ้าชู้ 3 มหาเฮี้ยน นางอกแตก หลวงพ่อกอย
- ขุนแผนสะกดรัก 7 นารีอัศจรรย์ (ดาวล้อมเดือน) หลวงพ่อกอย
- ขุนแผนพญาไก่แก้ว รุ่น 2 หลวงพ่อแดง สร้างปี 2543
- ขุนแผนพรายพยนต์ หลวงพ่อช้าง วัดหนองยายเม้า
- ขุนแผน 7 นางรุมรัก ครูบาชัยชนะ
- พระขุนแผนพรายกุมาร เสน่ห์เก้าโกศ
- ขุนแผนสาวสาม หมู่บ้านกินน้ำบ่อเดียวกัน หลวงพ่อชื่น
- พระขุนแผนพรายกุมาร เสน่ห์เก้าโกศ หลวงพ่อกอย
- ขุนแผนพรายกุมาร หลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด
- ขุนแผนหลวงพ่อชม วัดหลักสอง รุ่นเพชรดำเนิน
- ขุนแผนแสนเสน่หา รุ่นแรก ช้างผสมโขลง หลวงพ่อทราย (สาย)
- ขุนแผนพรายเสน่ห์สะกดนาง หลวงพ่อสาย
- ขุนแผนพญาไก่แก้ว หลวงพ่อแดง
- ขุนแผนยอดเฮี้ยน 3 อาถรรพณ์ หลวงพ่อชื่น
- ขุนแผนท้าวพญาพันเมีย ปะฉะดะ หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้
- ขุนแผนมะรุมมะตุ้ม รุมรัก (ขอได้สารพัดนึก) หลวงพ่อสาย
- ขุนแผนสามสาวพิศวาส หลังกุมารดูดรก หลวงพ่อชื่น วัดตาอี
- ขุนแผนนางรุมรัก ปะฉะดะ หลวงพ่อกอย
ประวัติหลวงพ่อมัก วัดเขาเล็กรางสะเดา จ.กาญจนบุรี
หลวงพ่อมัค วัดเขาเล็กรางสะเดา ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่มีมหาเวทมหามนต์ตรา คาถาอาคมขลังเด่นดัง เรื่องกุมารทองว่าปลุกเสกได้เฮี้ยนและขลังจริง ในยุคปัจจุบันนี้ยากจะหาท่านใดทัดเทียมได้ ในฐานะศิษย์ผู้สืบทอดพลังเวทวิทยาคม ที่ได้รับการถ่ายทอดจากหลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ และอีกหลายๆอาจารย์ ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเดินทางไปบูชากุมารทอง ถึงที่วัดมีคนทั้งหลายนิยมเช่าหา กุมารทองของท่านมาเลี้ยงและกล่าวขาน ถึงสรรพสิทธิ์อิทธิคุณว่าฉมังนัก ให้โชค ให้ลาภ อย่างอัศจรรย์ กุมารทองของหลวงพ่อมัก จะพุ่งแรงแซงโค้งและทิ้งห่างวัตถุมงคลอื่นหลายโยชน์ และ กล่าวขานกันว่า บรรดาพ่อค้าแม่ค้า ที่ขายของฝืดเคืองแต่ กลับขายดิบขายดีมีกำไรกิจการขยายตัว สวนกระแสเศรษฐกิจตั้งแต่ได้กุมารทอง หลวงพ่อมักไปเลี้ยงบูชา คนทั่วไปไม่มีธุรกิจแต่กลับ ถูกหวยรวยเบอร์กัน เป็นว่าเล่น
เพราะกุมารทองให้โชคให้ลาภ ไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่เห็น ความเฮี้ยนและความขลัง ของกุมารทองเสียงเล่าขานลือไกลไป ถึงต่างแดน ทำให้คุณโรเบิร์ดและคุณยินดีสองสามีภรรยาเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่ รัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ฝากเพื่อนบูชากุมารทอง หลวงพ่อมัก หลังจาก นั้นอีก 1 เดือนเศษสองสามีภรรยาก็ต้องมา เมืองไทยมากราบ หลวงพ่อมัก ถึงที่วัดและเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ตั้งแต่ได้กุมารทองหลวงพ่อมักไปบูชาที่ร้านมีลูก ค้ามาอุดหนุน แน่นร้านทุกวันสองสามีภรรยาก็ ต้องบูชากุมารทองเพิ่มอีก หลายสิบตน เพื่อไปฝากเพื่อนฝูงที่นิวยอร์ค คุณทองดีและภรรยาอยู่จังหวัดราชบุรี เปิดร้านมินิมาร์ท ได้บูชากุมารทองของ หลวงพ่อมัก ตามคำเล่าลือว่าเก่งค้าขายให้โชคให้ลาภ
จึงเดินทางไปบูชาเองที่วัดบูชาได้ประมาณ 2 อาทิตย์ สังเกตุว่า ขายดีคืนขายดีวันอยู่มาคืนหนึ่งภรรยาของ คุณทองดีได้ยินเสียงเด็กมากระซิบ ที่หูว่าแม่แม่เลขที่บ้าน ทั้งๆที่ภรรยาของคุณทองดีไม่ได้หลับเลย(ไม่ได้ฝันไป) เช้าขึ้นมา ภรรยาคุณทองดีได้นำเลขที่บ้านไปซื้อหวย ทำให้ภรรยาของคุณทองดี ถูกหวยทั้งเต็งและโต๊ดได้เงินก้อนใหญ่ก็กลับไป วัดไปกราบ หลวงพ่ออีกครั้ง และได้ทำบุญกับหลวงพ่อมัก เพื่อรวมสร้างเมรุเผาศพกับหลวงพ่อ
ชูชก สุดยอดเครื่องราง เจ้าแห่งการขอ
ชูชก สุดยอดเครื่องราง เจ้าแห่งการขอ
เครื่องรางชูชกมีอานุภาพทางด้านเสริมดวงในทางด้านขอโชค ขอลาภ ขอเงินขอทอง และขอของจากผู้ใหญ่ และโดดเด่นด้านการขอทุกชนิด หรือที่เรียกว่า “เทพเจ้าแห่งการขอ” ขนาดขอของที่พระเวสสันดรรักที่สุด คือ ลูก หรือเลือดในไส้ยังขอได้ และที่สำคัญมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ
จากบันทึกทศชาติ เรื่อง มหาเวชสันดรชาดก กลายมาเป็นเครื่องรางของขลัง ที่สร้างความศรัทธาให้กับผู้คนมากมายในปัจจุบัน เนื่องจากเสียงร่ำลือของ "เฒ่าชูชก" ที่ว่ากันว่า เครื่องรางของขลัง"เฒ่าชูชก" นี้มีความยอดเยี่ยมด้านโชคลาภ และเมตตามหานิยมสูง ค้าขายร่ำรวย
"ชูชกเขามีดี อาศัยปากที่ขอและมือที่ยื่นไปรับ เขาขอร้อยอย่างเขาก็ได้ร้อยอย่าง เขาขอพันอย่างก็ได้พันอย่าง"
จากตำนาน มหาเวสสันดร จะเห็นได้ว่า ชูชก แม้จะรูปชั่วตัวดำแก่ชราน่าเกลียด แต่มีข้อดีตรงที่ ขออะไรจากใครเขาก็ได้หมด ขอร้อยอย่างได้ร้อยอย่าง ขอพันอย่างได้พันอย่าง ขอแม้กระทั่งลูกในอกเขาก็ให้ งานไม่ต้องออกแรงทำ ไม่ต้องออกความคิด อาศัยแค่เพียงปากกับมือที่ยื่นไปรับก็ได้ดังใจหวัง แถมยังได้ดีมีภรรยาสวยช่างปรนนิบัติเอาใจ เป็นที่อิจฉาแก่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ซึ่งด้วยคุณสมบัติที่ดีของ เฒ่าชูชก เหล่านี้ จึงเกิดเป็นที่มาที่ทำให้พระเกจิอาจารย์ในอดีต นำไปสร้างเป็นเครื่องรางของขลัง และ เฒ่าชูชก ก็กลายเป็นวัตถุมงคลที่มีเสียงร่ำลือกันในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ สร้างความขลังให้กับผู้ที่นำไปบูชาอย่างมากมาย
ชูชกอาจไม่ใช่ตัวอัปลักษณ์ที่น่ารังเกียจถ้ามองในแง่ดี ตาเฒ่าผู้นี้ก็มีส่วนดีที่ควรเอาเยี่ยงอย่างคือ ชูชกเป็นผู้มีความประหยัดอดออม ประหยัด มัธยัสถ์ รู้จักใช้รู้จักเก็บ รักและห่วงใยภรรยามากเป็นคนซื่อสัตย์และให้ความไว้วางใจเพื่อนเป็นอย่างดี
สำหรับ เฒ่าชูชก ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับมากที่สุดเห็นจะเป็นของ หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน จ.สมุทรสาคร ซึ่งหายาก และมีมูลค่าสูง ต่อมาก็เป็น เฒ่าชูชก ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง และยังมีอีกหลายองค์ที่สร้าง ชูชก ออกมา เช่น หลวงพ่อแล วัดพระทรง จ.เพชรบุรี หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม จ.นครปฐม หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย จ.พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ
ทั้งนี้ รูปแบบของเครื่องรางเฒ่าชูชก จะมีลักษณะเกล้าผมมวยแบบพราหมณ์ มีหนวดเครา หลังค่อม ไม่สวมเสื้อ ถือไม้เท้าและสะพายย่าม เคล็ดลับการใช้ชูชก ว่ากันว่า หากอยากได้อะไรให้กลั้นใจ แล้วภาวนาว่า "เอา........ให้กู ชูชกขอนะ ขอนะ" แล้วสิ่งที่อยากได้จะเข้ามาหาเอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขออาจไม่ได้มาง่ายดายดังเสกสรรค์ หากแต่ต้องรู้จักตั้งใจทำมาหากิน รู้จักเอาเยี่ยงอย่างในเรื่องความประหยัด อดออม รักและห่วงใยภรรยา เป็นคนซื่อสัตย์ไว้วางใจเพื่อนในแบบด้านดีของ เฒ่าชูชก ด้วย ก็คงจะดีไม่น้อย
วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ประวัติหลวงพ่อสาย วัดนามวิจิตรตะเคียนราม อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
หลวงพ่อสาย ชื่อเดิม นายสาย นามสกุล บุตรตะเคียน เกิดวันพฤหัสบดี เดือนกันยายน ขึ้น 11 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ.2483 ที่บ้านตะเคียนราม ต.ตะเคียนราม อ.ภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ บิดาชื่อ นายพรหม บุตรตะเคียน มารดา ชื่อนางแว๊ด บุตรตะเคียน มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 2 คน คนที่ 1.ชื่อนางสีดา บุตรตะเคียนราม คนที่ 2.หลวงพ่อสาย ครอบครัวมีอาชีพทำไร่ทำนา ตามประสาชาวบ้านชนบททั่วไป
ชีวิตในเยาว์วัยของหลวงพ่อสาย นิสัยท่านเป็นคนใจบุญมีความสุขุมลุ่มลึกและมีใจโอบอ้อมอารีชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง ทั้งยังมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก พออายุได้ 17 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณรซึ่งบิดามารดาไม่ขัดข้องท่านจึงได้บวชเป็นสามเณร ณ.วัดนามวิจิตรตะเคียนราม วัดในหมู่บ้านของท่าน หลังจากบวชเณรได้ระยะหนึ่งพอถึงอายุได้ 20 ปี หลวงพ่อสายท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้รับฉายาว่า ”ปาโมกโข”
เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว หลวงพ่อสายท่านได้ศึกษาสวดมนต์และสวดปาฏิโมกข์ซึ่งใช้เวลาหนึ่งพรรษาเท่านั้น หลังจากนั้นหลวงพ่อสายท่านได้เดินธุดงค์ปลงสังขารลัดเลาะไปตามป่าดงพงพี ข้ามเขาลงห้วยในดินแดนประเทศกัมพูชาทำให้ท่านได้พบครูบาอาจารย์ที่เก่งๆหลายรูป ท่านได้ศึกษาพระเวทย์ อาถรรพ์ จากหลวงพ่อแย้ม ในวิชาเรื่องการปลุกเสกด้านเมตตามหาเสน่ห์ ค้าขาย พระอาจารย์พรหม เรียนวิชาการทำน้ำมนต์ ถอนคุณถอนของ หลวงพ่อกุจ สอนให้หลวงพ่อสายรู้จักกำหนดอารมณ์การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานทั้งยังสอนเรียนรู้ตำแหน่งแห่งธาตุทั้ง 4 เพื่อนำไปใช้ในการสร้างวัตถุมงคลของขลังให้ได้ผล
ครูบาอาจารย์เหล่านี้ก็ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมที่ตนมีอยู่ให้หลวงพ่อสายจนหมดสิ้นโดยเฉพาะฤาษีที่บำเพ็ตพรตอยู่กลางป่าดงดิบได้ถ่ายทอดวิชาขั้นสุดยอดให้หลวงพ่อสายเพื่อให้นำไปช่วยเหลือศิษย์ต่อไป หลวงพ่อสายได้รับคำแนะนำจากฤาษีว่าให้ออกธุดงค์เข้าป่าหาวิเวกเพื่อบำเพ็ญสมณธรรมต่อไป หลังจากกราบลาฤาษีก็มุ่งหน้าไปยังป่าโดยมิได้หวั่นแกรงภยันตรายต่างๆ ในประเทศกัมพูชามีป่าเขามากมายล้วนแต่เป็นของอาถรรพณ์ลี้ลับมากมายที่แฝงไปด้วยความน่าสะพึงกลัวทั้งจากภูติผีปีศาจที่ตาเรามองไม่เห็น และภัยจากคนในระหว่างเดินธุดงค์มีทั้งผู้แก่กล้าในวิชาอาคมทางด้านคุณไสยต่างๆ พอเขาเห็นพระธุดงค์มักจะชอบลองของลองวิชาอยู่เสมอหลวงพ่อสายท่านก็สามารถเอาตัวรอดมาได้โดยตลอด ค่ำไหนก็ปักกรดบำเพ็ญสมณธรรมท่านใช้ชีวิตอยู่ในป่าเป็นเขตอาศัยบิณฑบาตจากชาวป่า ชาวเขา ท่านได้พบฤาษี ชีปะขาว และพระธุดงค์ได้แลกเปลี่ยนศึกษาเวทมนต์โองการณ์ต่างๆ วิชาเสกอิ้นทอง ม้าเสพนาง ช้างผสมโขลง แม่เป๋อ วิชาตะกั่วเผาะ วิชาเรียกจิตภูติ วิชาเสกกุมารทอง วิชาเสกนางเหมา วิชาเสกขุนแผนมหาเสน่ห์ วิชาเสกเบี้ยแก้ หมากทุย และอีกหลายๆ วิชา
เมื่อหลวงพ่อสายท่านได้เรียนรู้พระเวทย์จากครูบาอาจารย์ของท่านจนหมดสิ้นท่านก็กราบลาและได้เดินธุดงค์ต่อไปมีจุดหมายปลายทางเพื่อกลับบ้านตะเคียนราม และได้มาจำวัดนามวิจิตรตะเคียนราม อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้
พระเครื่องหลวงพ่อสาย วัตถุมงคลหลวงพ่อสาย เครื่องรางหลวงพ่อสาย วัดนามวิจิตร จ.ศรีสะเกษ
- ขุนแผนพรายเสน่ห์สะกดนาง หลวงพ่อสาย
- ลูกอมมหาเสน่ห์ พญาเทครัวนางอกแตก หลวงพ่อสาย
- แม่เป๋อจำแลงมหาเสน่ห์ หลวงพ่อสาย
- หนุมานโภคทรัพย์ปางเสวยสุข หลวงพ่อสาย
- ขุนแผนแสนเสน่หา รุ่นแรก ช้างผสมโขลง หลวงพ่อทราย (สาย)
- เบี้ยแก้สารพัดกัน-สารพัดแก้ หลวงพ่อสาย
- ขุนแผนพรายเสน่ห์สะกดนาง หลวงพ่อสาย
- หมากทุย แคล้วคลาดอยู่ยงคงกระพัน หลวงพ่อสาย
- นางเหมาบันดาลโชค รุ่นปลดหนี้ร่ำรวยมหาศาล หลวงพ่อสาย
- กุมารขอดทรัพย์ หลวงพ่อสาย
- ขุนแผนมะรุมมะตุ้มรุมรัก พิมพ์กรรมการ หลวงพ่อสาย
- วัวธนูอิทธิฤทธิ แก้สิ่งอาถรรพณ์ได้ 108 หลวงพ่อสาย วัดนามวิจิตร
วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560
หลวงพ่อจืด นิมมฺโล สวนปฏิบัติธรรมโพธิเศรษฐี จ.นครปฐม
หลวงพ่อจืด นิมมฺโล มีนามเดิมว่า จืด บางแก้ว เกิดเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2481 ที่บ้านหมู่ .7 ต.ธรรมศาลา อ. เมือง จ. นครปฐม เป็นบุตรของนายอ่ำ และนางเนย บางแก้ว อาชีพทำสวน มีพี่น้องเดียวกัน 6 คน ชาย 4 หญิง 2 ท่านเรียนจนจบชั้นปฐมศึกษาที่โรงเรียนวัดธรรมศาลา และศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จนสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 6
บรรพชาอุปสมบทที่วัดธรรมศาลา ตรงกับพ.ศ.2504 โดยมีพระครูปัจฉิมทิศบริหาร(หลวงพ่อ ฉอย) วัดโพรงมะเดื่อ เป็นพระอุปุชฌาย์ พระครูภาวนากิตติคุณ(หลวงพ่อ น้อย) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์บุญช่วย วัดธรรมศาลา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “นิมมฺโล” เมื่อบรรพชาอุปสมบทแล้ว ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดธรรมศาลา โดยมีความตั้งใจว่า”จะขอรับใช้พระพุทธศาสนาสืบไป”
หลวงพ่อจืด นิมมฺโล สวนปฏิบัติธรรมโพธิเศรษฐี จ.นครปฐมหลวงพ่อจืด เป็นที่เลื่องลือให้คนทั้งประเทศได้เป็นที่รู้จักในนาม เทพเจ้าต่อเงิน ต่อทอง เป็นพระใจดีมีแต่ให้เป็นเกจิอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ลูกศิษย์ลูกหาทั่วเมืองไทย มิใช่แต่ลูกศิษย์ที่เป็นคนไทยเท่านั้น รวมไปถึงลูกศิษย์ชาวต่างประเทศอีกมากมายที่ศรัทธาในตัวท่าน ท่านเป็นศิษย์เอกหลวงพ่อน้อยวัดธรรมศาลา และวัดศรีษะทอง สุดยอดเกจิอาจารย์เมืองเจดีย์ใหญ่ เจ้าของเหรียญหล่อโบราณหน้าเสือ และเหรียญหล่อคอน้ำเต้า ที่มีประสบการณ์ปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏทั่วทิศ เป็นเลิศในอิทธิฤทธิ์กฤตคมเข้มขลังด้วยพลังพุทธคุณระดับแนวหน้าของเมืองไทย พระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยเดียวกับท่านเช่นหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม หลวงพ่อ แพ วัดพิกุลทอง หลวงปู่ ทิม วัดละหารไร่ เป็นต้น หลวงพ่อ น้อย ละสังขารไปเมื่อ วันที่ 17 พ.ย. 2513 สิริรวมอายุ 83 ปี 67 พรรษา ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ที่หลวงพ่อจืด ได้รับการถ่ายทอดวิชามาแล้วทั้งนั้น
หลวงพ่อน้อย มีทายาทพุทธาคมได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆไปจากท่าน ทั้งที่เป็นฆาราวาส และบรรพชิต ที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งของจังหวัดนครปฐม นามของท่านคือ หลวงพ่อจืด นิมมโล สวนปฏิบัติธรรมโพธิเศรษฐี ต. บ่อพลับ อ.เมือง จ. นครปฐม
หลวงพ่อจืด เป็นศิษย์สายตรงได้รับการครอบครูตำราไสยเวทวิทยาคม ให้อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้เพราะความขยันหมั่นเพียรตั้งใจฝึกฝนสมาธิจิตบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่าง เคร่งครัดซึ่งทำให้หลวงพ่อน้อย อินทฺสโร ให้ความรัก ความเมตตามากเป็นพิเศษ ท่านจึงประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้อย่างครบเครื่อง การลงอักขระเลขยันต์ในการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล ตำราโหราศาสตร์แบบโบราณตำราแพทย์แผนไทย การเจริญสมาธิภาวนาเพื่อฝึกฝนสร้างพลังจิตตานุภาพต่างๆให้หลวงพ่อจืด นิมมฺโล มีพื้นฐานความรู้ในศาสตร์ต่างๆอย่างสมบูรณ์ ปัจจุบันท่านได้ใช้ประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญดังกล่าวช่วยเหลือ สงเคราะห์ประชาชนอย่างสม่ำเสมอ
ผู้ศรัทธาทั้งหลายนอกจากในด้านเมตตามหานิยม โชคลาภค้าขาย ด้านแคล้วคลาดมหาอุตม์นั้นก็เป็นที่เลื่องลือไม่ใช่น้อยเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของญาติโยมทั้งส่วนท้องถิ่น และส่วนกลางท่านมีวาจาประกาศิต เลื่องลือกันมากคำไหนเป็นคำนั้นตรงกับใจเสมอวาจาสิทธิของหลวงพ่อจืด เป็นที่เล่าขานกันมานานแล้ว ส่วนความเมตตาบารมีธรรมนั้นสูงส่งมีญาณวิเศษของหลวงพ่อจืดล่วงรู้เหตุการณ์ใครที่เดือดร้อนทุกข์ใจไปกราบนมัสการขอความช่วยเหลือท่านจะเมตตาสงเคราะห์ โดยการอาบน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ไม่เลือกว่าใครจน ใครรวย เสมอเหมือนกันหมดสมกับเป็นพระของชาวบ้านอย่างแท้จริงและพร้อมกับแจกวัตถุมงคลให้ไปบูชาโดยเฉพาะตัวต่อเงิน-ต่อทอง ไว้ไปบูชา ไม่ช้าไม่นานก็รวยขึ้นมาเป็นลำดับ เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มามากต่อมากแล้ว วัตถุมงคลของท่านค้าไม่ดีจริง ไม่ขลังจริง คงไม่มีใครกล้ากล่าวถึง โดยเฉพาะคนในพื้นที่ใกล้วัดต่างก็มีวัตถุมงคล ของหลวงพ่อจืดบูชาติดตัวกันทั้งนั้น ต่างก็ยอมรับในประสบการณ์กล่าวขานกันมาช้านานแล้ว
- รูปหล่อปั๊ม มหาบารมีปี 53 หลวงพ่อจืด นิมมฺโล
- ตะกรุดจินดามณี พระเจ้า 5 พระองค์ อุ้มดวงชะตา
- พญาต่อเงิน - ต่อทอง รุ่นแรก ปี 2543 รุ่นประสบการณ์
- ล๊อกเก็ตมงคลชีวิต รุ่นประสบความสำเร็จตามปรารถนา พิธีเสาร์ห้า ปี 2553
- ท้าวเวสสุวัณมหาปราบขับไล่ภูตผีปีศาจพิมพ์ 2 หน้า หลวงพ่อจืด
- พญาต่อเงิน-ต่อทอง สร้างปี 2544 หลวงพ่อจืด สวนปฏิบัติธรรมโพธิเศรษฐี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)